ปคม.รวบสาว 19 นายหน้าวัยใส เเละลูกค้า ค้ากามเด็ก

ตำรวจ ปคม. จับสาว วัย 19 ผันตัวจากเหยื่อเป็นนายหน้าวัยใส ค้ากามเด็ก และกลุ่มผู้ซื้อบริการทางเพศเด็ก ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา

วันนี้ (13 ม.ค.66) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.อ.พัฒนพงศ์ ศรีพิณเพราะ ผกก.2 บก.ปคม., พ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.3 บก.ปคม., พ.ต.ท.พระเนียง พรหมมี รอง ผกก.2 บก.ปคม., พ.ต.ท.สมเดช สาระบรรณ์ รอง ผกก.3 บก.ปคม., พ.ต.ท.ศิษฏ์ พูลวงศ์ สว.กก.2 บก.ปคม., พ.ต.ท.เอนก บุญตา สว.กก.3 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคม. เเถลงผลยุทธการ “พิทักษ์กระต่ายป่า” จับกุมนายหน้าค้ากามเด็ก และกลุ่มผู้ซื้อบริการทางเพศเด็ก ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา

ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 2 กลุ่ม คือ 

1.ผู้ต้องหาที่เป็นนายหน้าจัดหา

– นางสาวสุพัชรินทร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 45/2566 ลงวันที่ 9 ม.ค. 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ค้ามนุษย์ ด้วยการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณี และได้กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปี แต่ไม่ถึงสิบแปดปี, เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีแม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม และไม่ว่าการกระทำต่างๆ อันประกอบเป็นความผิดนั้นจะได้กระทำภายใน หรือนอกราชอาณาจักร และได้กระทำแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี, ชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร หรือน่าจะทำให้เด็กประพฤติตนเสี่ยงต่อการกระทำผิด และกระทำด้วยประการใดอันเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากเด็ก, เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งชายหรือหญิงแม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม และได้กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปี แต่ไม่เกินสิบแปดปี, ช่วยเหลือ ให้ความสะดวก หรือคุ้มครองการค้าประเวณีของผู้อื่น, รับผลประโยชน์ไม่ว่ารูปแบบใดจากการค้าประเวณีของผู้อื่น หรือจากผู้ซึ่งค้าประเวณี และจัดให้มีการค้าประเวณีระหว่างผู้ซึ่งค้าประเวณีกับผู้ใช้บริการ, พาบุคคลอายุเกินสิบห้าปี แต่ไม่เกินสิบแปดไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม, พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย”

2.กลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นผู้ซื้อบริการทางเพศ ได้แก่

– นายวีระพล (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญาที่ 46/2566 ลงวันที่ 9 ม.ค.2566  

-นายกิตตินันท์ (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญาที่ 47/2566 ลงวันที่ 9 ม.ค.2566

-นายจิติคุณ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญาที่ 48/2566 ลงวันที่ 9 ม.ค.2566

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “พาบุคคลอายุเกินสิบห้าปี แต่ไม่เกินสิบแปดไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม, พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย, และชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร หรือน่าจะทำให้เด็กประพฤติตนเสี่ยงติดต่อการกระทำความผิด และกระทำด้วยประการใดอันเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากเด็ก”

การจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องจาก วันที่ 2 ธ.ค.65 ตำรวจ กก.3 บก.ปคม. ได้ทำการจับกุม น.ส.ปภาดาฯ ซึ่งมีพฤติกรรมการโพสต์โฆษณาสาธารณะในลักษณะบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ในลักษณะเป็นธุระจัดหา หรือชักชวนให้มีการซื้อขายบริการทางเพศผ่านทวิตเตอร์ และสามารถเข้าทำการช่วยเหลือผู้เสียหายที่เป็นเด็ก ได้อีก จำนวน 2 ราย ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองเหยื่อจากการค้ามนุษย์ 

ต่อมาได้ทำการสืบสวนขยายผล จนทราบว่ามี น.ส.สุพัชรินทร์ ทำหน้าที่เป็นนายหน้าจัดหาเด็กมาค้าบริการทางเพศ โดยมีนายวีระพล, นายกิตตินันท์และนายจิติคุณ เป็นผู้ซื้อบริการผู้เสียหายในคดีก่อนหน้านี้ จึงได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติต่อศาลอาญา เพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดในขบวนการ

จากนั้นเมื่อวันที่ 10 ม.ค.66 ได้เปิดปฏิบัติการตรวจปิดล้อมตรวจค้นบ้านพักของ น.ส.สุพัชรินทร์ ซึ่งเป็นนายหน้าค้าบริการทางเพศเด็ก ในพื้นที่ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา สามารถจับกุมตัว น.ส.สุพัชรินทร์ ได้

จากการสอบถามเบื้องต้น น.ส.สุพัชรินทร์ รับว่าตนเองเป็น นายหน้าจัดหาเด็กให้แก่ผู้ซื้อบริการ โดยตนเองนั้นเป็นนายหน้า มาเป็นเวลาประมาณ 5-6 เดือนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว โดยจะได้ค่าตอบแทนจากการติดต่อ 300 ถึง 500 บาท ต่อครั้ง

และในวันที่ 11 ม.ค.66 ต่อเนื่องกัน ได้ทำการเข้าจับกุมผู้ต้องหาอีกจำนวน 3 ราย ที่เป็นกลุ่มผู้ซื้อบริการทางเพศเด็ก ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จ.นครราชสีมา, จ.สระแก้ว และ จ.อุดรธานี โดยทั้ง 3 รายรับว่าก่อนหน้านี้เคยใช้บริการทางเพศ ซื้อบริการทางเพศเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จากเหยื่อจริง โดยมีการใช้สถานที่ รีสอร์ท ในพื้นที่ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา

ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ดำเนินการเชิงรุก เพื่อป้องกันกลุ่มผู้ต้องหาที่มักใช้โรงแรมและรีสอร์ทเป็นสถานที่ในการก่อเหตุ โดยได้ประสานนายทะเบียน เข้าตรวจสอบสถานที่เสี่ยงต่างๆ อาทิเช่น รีสอร์ท และโรงแรมในพื้นที่ ซึ่งไม่บันทึกรายงานต่างๆ เกี่ยวกับผู้พัก และจำนวนผู้พักลงในบัตรทะเบียนผู้พัก เมื่อมีการเข้าพัก และไม่ส่งสำเนาทะเบียนผู้พักไปให้นายทะเบียน เพื่อดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ.2547 ต่อไป

คลิปอีจันแนะนำ
มะปราง สาวขายฝัน