CIB ทลายแก๊งหลอกลงทุนเทรดหุ้นทอง-น้ำมัน พบเงินสะพัดกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท

ระวังมิจฉาชีพปลอมเป็นมิตร! ตำรวจสอบสวนกลาง ทลายแก๊งหลอกลงทุนเทรดหุ้นทองคำ-น้ำมัน พบเงินหมุนเวียนกว่า 16,000 ล้านบาท

ช่วงนี้มิจฉาชีพมานรูปแบบต่างๆ คิดมุกใหม่มาหลอกให้เราโอนเงินเพียบ ระวังกันด้วยนะคะ โดยเฉพาะใครที่เข้ามาตีสนิทแล้วชวนลงทุนเนี่ย มีให้เห็นบ่อยๆ ล่าสุด ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ทลายเครือข่ายหลอกลงทุนเทรดหุ้นทองคำ น้ำมัน ตุ๋นเหยื่อโอนเงินพบเงินหมุนเวียนกว่า 16,000 ล้านบาทเลย 

วันนี้ (5 ก.พ.67) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมกับ บก.ป., บก.ทล., บก.ปคบ. และ บก.รน. ร่วมกันจับนายภัทรกษิณ อายุ 22 ปี, นายปรัชญา อายุ 23 ปี, นายภาณุวัฒน์ อายุ 30 ปี, นายวินัย อายุ 53 ปี, นายเจนณรงค์ อายุ 31 ปี, น.ส.จิราพัชร อายุ 20 ปี และนายธงชัย อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ” ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบ และร่วมกันฟอกเงิน” 

เนื่องจากประมาณ ก.ค.66 ที่ผ่านมา มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. กรณีมีกลุ่มคนร้ายสร้างบัญชีเฟชบุ๊กปลอม ทักแชทมาพูดคุยกับผู้เสียหาย จนสนิทสนมและขอไอดีไลน์ชักชวนลงทุนเทรดหุ้นทองคำและหุ้นน้ำมัน ผ่านแอปพลิเคชันบัญชีหนึ่ง ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันเลียนแบบแอปพลิเคชันที่มีอยู่จริง  

ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปลงทุน โดยช่วงแรกได้ผลตอบแทนจริง จนกระทั่งผู้เสียหายเริ่มลงทุนในจำนวนมากขึ้นและต้องการถอนเงิน แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ คนร้ายอ้างว่ายอดเงินของผู้เสียหายมีจำนวนมาก จะต้องมีการชำระภาษีก่อนถึงจะทำรายการถอนเงินได้ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าถูกหลอกลวง 

จากการตรวจสอบจากระบบรับแจ้งความออนไลน์ พบมีผู้เสียหายถูกหลอกลงทุนผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าวทั้งหมด 23 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 14 ล้านบาท 

จากการสืบสวนเส้นทางการเงิน พบว่ากลุ่มคนร้ายได้ใช้บัญชีธนาคารม้าในการรับโอนเงินและมีการยักย้ายถ่ายเทไปยังบัญชีธนาคารบัญชีม้าอื่นๆ อีกหลายทอด ซึ่งกลุ่มคนร้ายเป็นขบวนการที่มีฐานปฏิบัติอยู่ที่ สปป.ลาว มีการแยกหน้าที่กันทำชัดเจน 

ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. จึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับกลุ่มผู้ต้องหา จำนวน 18 ราย กลุ่มบัญชีม้า (คนไทย) จำนวน 8 ราย, กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน จำนวน 5 ราย (คนไทย 2 ราย, มาเลเซีย 1 ราย และจีน 2 ราย), กลุ่มผู้สั่งการหรือนายทุน (คนจีน) จำนวน 5 ราย 

ต่อมา เมื่อวันที่ 30 – 31 ม.ค. 67 ตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมตรวจค้นจับกลุ่มผู้ร่วมขบวนการดังกล่าว 10 จุด โดยแบ่งเป็น กรุงเทพฯ 2 จุด, ภูเก็ต 6 จุด,เชียงราย 1 จุด และหนองบัวลำ 1 จุด จับกุมผู้ต้องหาได้ 7 ราย (กลุ่มบัญชีม้า 5 ราย, กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน 2 ราย) ยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องหลายรายการ ในส่วนผู้ต้องหาชาวจีนและมาเลเชียที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศ จำนวน 9 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างประสานงานติดตามจับ 

ชุดสืบสวนตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ตั้งแต่ พ.ค. 2565 ถึงปัจจุบัน กลุ่มคนร้ายมีการรับเงินดิจิทัสประมาณ 230 ล้านเหรียญ ประมาณ 8,000 ล้านบาท และมียอดเงินหมุนเวียน กว่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะได้จากการกระทำความผิด  

เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การภาคเสธ โดย นายปรัชญา รับว่า ร่วมกับนายภัทรกษิณ ในการจัดหาบัญชีธนาคารและบัญชีเทรดคริปโตม้า ซึ่งนายภัทรกษิณ จะได้รับการว่าจ้างจากนายทุนชาวมาเลเซีย และ MR. TAH (เตี๊ยะ) สัญชาติมาเลเซีย ให้จัดหาบัญชีธนาคารและบัญชีเทรดคริปโตม้า  

จากนั้นนายภัทรกษิณ จะสั่งการให้นายปรัชญา ไปจัดหาคนเปิดบัญชีธนาคารม้า พร้อมทั้งเปิดบัญชีเทรดคริปโตม้า โดยมีการผูกแอปพลิเคชันธนาคาร และแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลไว้ในโทรศัพท์มือถือ ในลักษณะพร้อมใช้งาน แล้วจะส่งโทรศัพท์มือไปยัง ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อส่งต่อไปยังฐานปฏิบัติการของกลุ่มคนร้ายในประเทศ สปป.ลาว โดยนายทุนชาวมาเลเซียจะจ่ายค่าจ้างประมาณ 10,000 บาท ต่อหนึ่งบัญชี 

ทั้งนี้ นายภัทรกษิณ ยังให้ลูกน้องจดทะเบียนบริษัท และเช่าบ้านแห่งหนึ่งย่านเขตบางชัน กรุงเทพฯ เป็นออฟฟิศ เพื่อใช้ในการฟอกเงิน ในช่วง ก.ค.64 – ส.ค. 66 มีรายได้จากการจัดหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มนายทุน มากกว่า 28 ล้านบาท และมีการส่งโทรศัพท์ที่มีบัญชีม้าไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดด้วย 

ระวังกันด้วยนะคะ การลงทุนมีความเสี่ยง ต้องศึกษาให้ดี อย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ