
คืบหน้า เหตุสะเทือนขวัญ หญิงชราถูกไฟเผาเสียชีวิต หลังรับเงินปันผลสหรกรณ์ ได้เพียงไม่กี่วัน
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 66 เวลา 13.30 น. ตำรวจ สภ.แม่ริมและชุดสืบสวนภูธร จ.เชียงใหม่ เข้าตรวจสอบบ้านพักใน ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ พบศพหญิงชราวัย 63 ปี สภาพศพถูกไฟเผาทั่วร่าง อยู่ในสวนข้างบ้าน จากการตรวจสอบเป็นบ้านสองชั้น ผู้ตายคือนางยุพิน พงษ์จำรัส อายุ 63 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน โดยศพอยู่ห่างจากตัวบ้านราว 5 เมตร บริเวณสวนข้างบ้าน ในที่เกิดเหตุพบตะกร้าผ้าบางส่วน ขณะที่ประตูบ้านถูกล็อคไว้ ในครัวพบแก้วที่มีกาแฟชงไว้ แต่ยังดื่มไม่หมด ภายในตัวบ้านเองไม่พบร่องรอยการต่อสู้ หรือขโมยทรัพสินย์ มีเพียงตะกร้าผ้าที่กระจัดกระจาย เจ้าหน้าที่จึงนำภาพกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าบ้านไปตรวจสอบ
ต่อมา นางสาวพัลยมนต์ สร้อยงาม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 เผยว่า ผู้ตายอยู่บ้านคนเดียว หลังสามีเสียไปนานหลายปี ส่วนลูกชาย-ลูกสาว ไปทำงาน ตจว. โดยปกติผู้ตายเป็นคนร่าเริง ไม่เคยมีปัญหากับใคร ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นคนแปลกหน้าเข้าออกบ้านหลังนี้ ซึ่งก่อนจะพบเป็นศพ ตนได้รับการขอร้องจากญาติผู้ตาย ให้มาช่วยดูหน่อย หลังจากติดต่อผู้ตายไม่ได้นานสองวัน เมื่อมาถึงก็พบเป็นศพตามที่เป็นข่าว
ขณะที่ญาติเล่าว่า ผู้ตายเป็นลูกจ้าง ใน รพ.ตำรวจค่ายดารารัศมี อ.แม่ริม หลังเกษียณ เมื่อสามปีก่อนก็ได้อยู่บ้านหลังนี้ตามปกติ ซึ่งก่อนจะพบว่าเสียชีวิต ผู้ตายได้เงินปันผลจากสหรกรณ์ จำนวนหลักแสน และบอกว่า จะโอนใช้หนี้ให้ญาติเป็นจำนวน 10,000 บาท และยังเคยบอกอีกว่า จะแจกเงินให้เพื่อน คนละสองคน โดยก่อนหน้าจะเสียชีวิต ผู้ตายได้นำทองไปฝากญาติที่บ้านอีก 10 บาท แต่หลังจากนั้น ในวันที่ 12 ต.ค.ก็ขาดการติดต่อ ลูกชายของผู้ตายที่ปกติจะดูกล้องวงจรปิดในบ้าน รู้สึกกังวลใจ เพราะไม่เห็นแม่มาสองวันแล้ว จึงให้ญาติเข้ามาดู จนพบว่ากลายเป็นศพแล้ว ทำให้เชื่อว่า อาจเป็นการฆ่าชิงทรัพย์จากคนใกล้ชิด
ซึ่งคดีนี้มีความคืบหน้า ล่าสุด ช่วงเย็นวานนี้ 15 ต.ค. 66 พล.ต.ต.ธวัชชัย เผยว่า จากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและการสืบสวน มีแนวโน้มว่าผู้ตายน่าจะเสียชีวิตโดยวิธีอัตวินิบาตกรรม เนื่องจากเกิดความเครียดจากการถูกหลอกลวงเงินเพื่อร่วมลงทุนกับแก๊งมิจฉาชีพ รวมเป็นเงินประมาณ 5.2 ล้านบาท
ซึ่งจากการตรวจสอบโทรศัพท์ของผู้ตาย พบร่องรอยการสนทนาผ่านแอปพลิเคชั่น ไลน์ระหว่างผู้เสียชีวิตกับบุคคลที่เชื่อว่าเป็นคนร้าย ในลักษณะการหลอกลวง ให้ร่วมลงทุนผ่านแพลตฟอร์ม MijingTong และพบ ประวัติการโอนเงินลงทุน จากบัญชีธนาคารของผู้ตายไปยังบัญชีธนาคารอื่น จำนวน 10 บัญชี ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา จำนวน 15 รายการ รวมเป็นเงิน 5,200,000 บาท
จากการสอบสวนคาดว่า เข้าค่ายกระทำความผิดฐานหลอกลวงและฉ้อโกง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ และทราบถึงแผนประทุษกรรมและวิธีการหลอกลวงของคนร้ายซึ่งเชื่อว่ามีมากกว่าหนึ่งคน กระทำกันเป็นกระบวนการ จากนั้นได้ติดต่อไปยังผู้เสียหายเพื่อออกอุบายชักชวนให้ร่วมลงทุนโดยมีผลตอบแทนที่คุ้มค่า น่าเชื่อถือ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินไปให้คนร้าย จากนั้นคนร้ายจะทำการโอนเงินที่ได้รับจากผู้เสียหายไปยังบัญชีอื่น เพื่อเป็นการอำพรางเส้นทางการเงิน
ทั้งนี้ตำรวจได้จ่อดำเนินคดีกับคนที่เกี่ยวข้อง และคาดว่ากระทำความผิด เบื้องต้นแล้วจำนวน 10 คน และจะทำการสืบสวนขยายผลว่า ใครมีส่วนร่วมในการทำผิดเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่ง พล.ต.ต.ธวัชชัย เผยว่า จากการทำงานได้ข้อเท็จริงมาระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ครบถ้วน ซึ่งข้อเท็จจริงที่ได้มามีแนวโน้มที่จะเป็นการฆ่าตัวตาย หรือ อาจเป็นฆาตกรรมก็ได้ ซึ่งจะต้องรอผลการตรวจนิติเวช พิสูจน์หลักฐานและพยานแวดล้อมต่าง ๆ อีกระยะหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่ฟันธง ขณะที่ญาติอยากให้ทางตำรวจสืบสวนเพิ่มเติม ยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดที่มีการเผยแพร่ออกไป บางส่วนจริง บางส่วนไม่จริง แต่ยืนยันว่าผู้เสียชีวิตถูกหลอกสูญเสียเงิน และมีหลักฐานบางส่วนที่มีแนวโน้มเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ ที่เกิดเหตุมีกล้องวงกจรปิด ดังนั้นสิ่งที่พิสูจน์ไม่เสร็จ ก็จะยังไม่พูดและจะต้องทำงานอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงออกมาให้ปราศจากข้อสงสัยทุกฝ่าย
สำหรับผลการตรวจพิสูจน์ศพ และหลักฐานผลบางส่วนต้องใช้เวลา เนื่องจากสภาพศพถูกทำลาย บางส่วนต้องส่งตรวจกรุงเทพ กรณีข่าวที่ออกมาว่าถูกฆ่ายัดโอ่ง เรื่องนี้เป้นการคิดกันไปจากคำบอกเล่าหรือจินตนาการจากภาพที่เห็น ทำให้ข้อเท็จจริงผิดเพี้ยน ข้อเท็จจริงคือศพอยู่ข้างโอ่งและโอ่งแตก ส่วนจะเกิดจากอะไรยังตอบไม่ได้ เพราะไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ส่วนจะถูกไฟไหม้อย่างไรเป็นสิ่งที่ตำรวจต้องทำงาน
ทั้งนี้คงต้องรอการสืบสวนและขยายผลเพิ่มเติม จนกว่าความจริงจะปรากฏต่อไปครับ