ชุดคลี่คลาย คดีแอม ใกล้พบขวดไซยาไนด์ที่ใช้ก่อเหตุ

คดีแอม ไซยาไนด์ ชุดคลี่คลายคดีใกล้พบขวดที่ใช้ก่อเหตุแล้ว หลังไล่ตรวจพิสูจน์กว่าพันขวด

คดี แอม ไซยาไนด์ ล่าสุด (7 พ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยความคืบหน้าทางคดีจาก พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รอง ผบก.สส.ภ.4 ว่า สำหรับการสืบสวนต้นตอขวดไซยาไนด์ที่แอมใช้ก่อเหตุนั้น เราค้นหาจากข้อมูลการจำหน่ายออกไปของบริษัทที่นำเข้า โดยบริษัทที่นำเข้าไม่ใช่บริษัทย่านลาดกระบัง ที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น เนื่องจากบริษัทแห่งนี้ทำหน้าที่เป็นเพียงเทรดเดอร์ และซื้อมาจากบริษัทนำเข้าเจ้าใหญ่รายหนึ่งมาประมาณ 30 ขวด จาก 2,000 ขวด ซึ่งเราก็กำลังพยายามตรวจพิสูจน์ ให้เหลือเพียงขวดเดียวที่เป็นของแอม คาดว่าจะมีความชัดเจนเร็วๆ นี้

ส่วนคนที่สั่งซื้อไซยาไนด์ให้แอมนั้น อาจจะซื้อมาจากบริษัทอื่นๆ ก็เป็นได้ เพราะจากการตรวจสอบเรายังพบว่า มีบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นเทรดเดอร์คล้ายบริษัทดังกล่าว อีกประมาณ 50 บริษัท ที่จำหน่ายสารไซยาไนด์ตัวนี้

อีกทั้งบางรายก็เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำอุตสาหกรรม จริงๆ ซื้อด้วยจำนวน 400-500 ขวด

ดังนั้น จากจำนวนทั้งหมด 2,000 ขวด หักออกจากบริษัทขนาดใหญ่ ก็จะเหลือรายเล็กรายย่อยที่ซื้อไปในจำนวนเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเราก็ตัดจำนวนได้เยอะแล้ว เหลือเพียงไม่กี่ขวดให้ตรวจพิสูจน์

เมื่อสอบถามถึงกรณีพยานผู้หญิงสองราย ได้แก่ น.ส.กุ้ง และ น.ส.ป่าน ซึ่งมีการสอบปากคำเนื่องจากมีการระบุว่าแอม ได้นำชื่อหนึ่งในสองคนนี้ไปสั่งซื้อไซยาไนด์ แต่เบอร์โทรศัพท์บนพัสดุกลับระบุเป็นเบอร์ของแอมแทนนั้น พ.ต.อ.ภาคภูมิ ระบุว่า ข้อมูลส่วนนี้เรามีเรียบร้อย แต่เป็นข้อมูลว่ามีการสั่งซื้อ แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าทั้งคู่สั่งซื้ออะไร ต้องไปพิสูจน์ก่อน

ซึ่งการมีข้อมูลในเรื่องสั่งซื้อนี้ เราก็ต้องไปหาข้อมูลจากบริษัทผู้จัดส่ง ดูว่าสินค้าถูกส่งมาจากที่ไหน สั่งซื้ออะไรมา และปลายทางมีการจัดส่งไปที่ผู้อื่นอีกหรือไม่ เช่น ส่งไปที่ น.ส.ป่าน โดยตรง หรือโทรศัพท์ไปที่เบอร์ที่ถูกระบุแต่มีคนมารับพัสดุเพื่อไปส่งที่ไหนต่อหรือไม่ แต่สาระสำคัญ คือ เราสงสัยเรื่องเบอร์โทรศัพท์ที่มีการระบุบนกล่องพัสดุ อย่างไรขอเวลาในการตรวจพิสูจน์ทราบให้ได้ข้อเท็จจริง

ส่วนบริษัทรายใหญ่ ที่นำเข้าสารไซยาไนด์ หรือเทรดเดอร์ที่รับไซยาไนด์มาขายต่อ จะมีความผิดใดหลังจากนี้หรือไม่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ระบุว่า ประเด็นนี้ ในวันจันทร์ที่ 8 พ.ค. 66 เวลา 10.00 น. ที่ สโมสรตำรวจ ทางอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมจะมาประชุมร่วมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เพื่อหารือถึงข้อกฎหมายที่มีอยู่ เนื่องจากสารไซยาไนด์จะมีความผิดในเรื่องการครอบครองก็ต่อเมื่อมีไว้ในจำนวน 1,000 กิโลกรัม

ดังนั้น ผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้ครอบครองก็จะมีผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้ส่งออก แต่ถึงแม้ว่าบริษัทขนาดใหญ่จะมีการขออนุญาตนำเข้า แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็มองในมิติอื่นด้วยว่า การขออนุญาตนำเข้ามีการระบุวัตถุประสงค์อย่างไร และการนำเข้ามาได้ถูกนำไปขายผิดวัตถุประสงค์ แบบนี้จะมีความผิดหรือไม่ และจะต้องรับผิดชอบอย่างไรจากสิ่งที่เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่ท่านคิด

แต่อย่างไรก็ต้องนำมาวิเคราะห์ประกอบกับตัวบทกฎหมายหลายฉบับ ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีด้วย อาทิ กฎหมายเกี่ยวกับวัตถุอันตราย ประกาศกฎกระทรวงเรื่องเคมีภัณฑ์ เป็นต้น และหากพิจารณาในข้อกฎหมายร่วมกันแล้วพบว่ามีความผิดก็ต้องดำเนินคดีทั้งหมดต่อไป

ในช่วงท้าย พ.ต.อ.ภาคภูมิ ยังระบุด้วยว่า ปฏิบัติการต่อไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเริ่มเข้มข้นขึ้น เพราะสังคมจะได้เห็นถึงผู้ที่มีส่วนร่วมกระทำความผิดในครั้งนี้กับผู้ต้องหา อาจจะเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือ หรือเป็นตัวการร่วมก็ต้องมาดูพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริง ที่ได้จากการสืบสวนสอบสวนรวบรวม เนื่องจากกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา และที่สำคัญเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกชุดคณะทำงาน ก็ยังได้พยานหลักฐานเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนการสรุปสำนวนส่งฟ้องต่ออัยการ ในระหว่างที่แอมถูกฝากขังผัดแรกอยู่นั้น ปกติแล้วสามารถฝากขังได้ 7 ฝาก เท่ากับ 84 วัน ซึ่งยืนยันว่าคณะทำงานส่งฟ้องทันแน่นอน และอาจจะส่งฟ้องในช่วงฝากที่ 6 ก็เป็นได้ เพราะผลตรวจพิสูจน์ต่างๆ ทั้งเรื่องเสื้อผ้าที่ได้จากการตรวจค้น การเก็บร่องรอยดีเอ็นเอ ผลตรวจพิสูจน์เรื่องเส้นทางการเงิน ค่อนข้างได้เกือบครบถ้วนแล้ว เพียงแค่เราต้องการรวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุมมากที่สุด ขอให้ทนายความไม่ต้องห่วง เรามั่นใจในพยานหลักฐานพอสมควร

คลิปอีจัน แนะนำ