
จากกรณีพบศพนายชูเชียง เฉิน อายุ 48 ปี ชาวไต้หวัน สภาพนอนคว่ำหน้าสวมเสื้อยืดคอกลมสีฟ้า กางเกงขาสั้นสีดำ ที่ปากถูกปิดด้วยสกอตช์เทปใสหลายรอบ มือ 2 ข้างถูกมัดไพล่หลังด้วยเชือกฟางและสกอตช์เทปใสคาดด้วยเข็มขัดมัดรอบตัว หน้าแข้งถูกรัดด้วยเข็มขัด ข้อเท้าถูกมัดด้วยสกอตช์เทปใสหลายรอบ เหนือคิ้วขวาถูกตีด้วยของแข็งเป็นแผลฉกรรจ์ ผ้าปูที่นอนเปื้อนเลือด และมีผ้าขนหนูเปื้อนเลือดที่พื้นอีก 2 ผืน ส่วนภายในห้องพบตู้เซฟขนาดย่อม 2 ตู้ วางอยู่บนพื้น
ความคืบหน้าเมื่อช่วงเช้าวันที่ 18 พ.ย. 66 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธี ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ ถึงความคืบหน้าการติดตามตัว ผู้ต้องหา ชายชาวตะวันตก ตัวการใหญ่สังหารหนุ่มไต้หวันวัย 47 ปี เสียชีวิตภายในห้องพัก โรงแรมชื่อดังย่านอุดมสุข เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 16 ที่ผ่านมาว่า…
หลังศาลออกหมายจับผู้ต้องหารวมทั้งหมด 3 คนประกอบด้วย นายเจนซี่ หนุ่มเมียนมาร์ นายจอห์น ครูสอนภาษา ชาวแคเมอรูน และหนุ่มชาวตะวันตกผิวขาว ไม่ทราบชื่ออีก 1 คน
ซึ่งจากการสอบปากคำนายเจนซี่ ให้การว่า สำหรับหนุ่มชาวตะวันตกผิวขาวนั้น อ้างตัวเป็นคนอเมริกัน แต่จากการ ตรวจสอบเอกสารการเดินทางเข้าประเทศไทย พบว่า ถือ 2 สัญชาติ มีแต่ คือสัญชาติวานูอาตูและ อิหร่าน ไม่ใช่ ชาวอเมริกัน ตามที่นายเจนซี่บอก และสำหรับผู้ต้องหารายนี้ ได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้วหลังก่อเหตุ
สำหรับนายเจนซี่และนายจอห์น ทั้งสองคนพนักงานสอบสวน สน.บางนา เตรียมควบคุมตัว ไปขออำนาจศาลฝากขัง ก่อนเที่ยงวันนี้
ส่วนผู้ร่วมขบวนการอีก 1 ราย ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน และว่าจ้างซึ่งเป็นหญิงสาวชาวไทย มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดราชบุรีนั้น ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเสนอศาลออกหมายจับ
ด้าน ภรรยาของนายจอห์น แอบอนี ชาวแคมเมอรูน ให้ข้อมูลระหว่างรอสามี ว่า สามีรู้จักกับผู้เสียชีวิตมานานแล้ว ปกติถ้าผู้เสียชีวิตเดินทางมาประเทศไทยจะนัดกินข้าวกัน และส่วนผู้ต้องหาชาววานูวาตูนั้น ผู้เสียชีวิตเป็นคนแนะนำสามีให้รู้จัก
วันเกิดเหตุ ผู้ต้องหาชาววานูวาตู โทรเรียกสามี ไปหาที่ชั้น 5 ของโรงแรมเพื่อนัดแนะให้สามีช่วยเปิดประตูห้องไว้ จากนั้นสามีก็เดินทางกลับมาบ้านและได้โทรไปสอบถามว่าไกล่เกลี่ยสำเร็จหรือไม่ แต่กลับได้ยินเสียงดังมาจากปลายสาย จึงวกกลับมาที่โรงแรมอีกครั้งจนเห็นว่า ผู้ต้องหาชาววาตูวานู และชาวเมียนมา ร่วมกันทำร้ายและใช้สเปรย์พริกไทยฉีดหน้าผู้เสียชีวิต โดยขณะนั้นยังไม่เห็นว่ามีการพันธนาการ สามีจึงเอามือไปบังหน้าผู้เสียชีวิตเพื่อช่อยเหลือ
แต่ผู้ต้องหาชาวเมียนมา กลับให้การกับตำรวจว่าสามีพยายามช่วยกันทำร้ายชายไต้หวัน ตนขอยืนยันว่าสามีไม่ได้มีเจตนาฆ่าอย่างแน่นอน เพราะไม่มีความขัดแย้งกัน และเชื่อว่าถ้าหากชาวไต้หวันยังมีชีวิตอยู่ ก็จะทำให้สามีรอดพ้นจากการดำเนินคดีอย่างแน่นอน