‘ภาษี’ นอกจากเป็นเครื่องมือสําคัญในการแสวงหารายได้ของรัฐ ยังมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสังคม รวมถึงการส่งเสริมมาตรการต่างๆ ซึ่งปัจจุบันพบว่า ภาษีถูกนํามาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านสุขภาพ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สรรพสามิต พ.ศ.2560 บังคับใช้ภาษีความหวาน รวมถึงภาษีความเค็ม ที่กรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างศึกษา
ชัดๆ ก็คือ ใครที่หวานมาก เค็มมากก็เก็บภาษีมาก หวานน้อย เค็มน้อยก็เก็บน้อย เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับลดปริมาณน้ำตาล และโซเดียมในสินค้า
ซึ่งล่าสุด นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุม กรมสรรพสามิต เผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.66 กรมสรรพสามิต จะเริ่มปรับขึ้นภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาล หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาการคงภาษี 6 เดือน ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบ วันที่ 1 ต.ค.65-31 มี.ค.66
ถ้าผู้ประกอบการไม่ปรับเปลี่ยนสูตรการผลิต โดยลดส่วนผสมจากน้ำตาลลง จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อต้องการดูแลสุขภาพของไทยให้ห่างไกลจากโรคอ้วน เบาหวาน และความดัน
นายณัฐกร กล่าวว่า สำหรับภาษีความหวานนี้ เป็นระยะที่ 3 ที่จะเริ่มเก็บตั้งแต่ 1 เม.ย.66- 31 มี.ค.68 มีอัตรา แบ่งเป็น
ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 0.3 บาทต่อลิตร
ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาทต่อลิตร
ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาทต่อลิตร
ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร
ปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร
“ภาษีความหวาน จะปรับขึ้นเป็นอัตราก้าวหน้าทุกๆ 2 ปี ถ้าผู้ประกอบการไม่ปรับตัวในการผลิต โดยลดความหวานลงจะเสียภาษีเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องดื่มที่มีสารความหวาน 10-14 กรัมต่อลิตร จะเสียภาษีเพิ่มจาก 1 บาท เป็น 3 บาทต่อลิตร ซึ่งเบื้องต้น ขณะนี้พบว่า ผู้ผลิตทยอยลดปริมาณน้ำตาลลงแล้ว ก็จะไม่ทำให้
มีภาระภาษีเพิ่มขึ้น” นายณัฐกร กล่าว
นายณัฐกร เชื่อว่า การขึ้นภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลรอบนี้ จะไม่กระทบให้ราคาเครื่องดื่มที่มีความหวาน หรือน้ำอัดลมราคาเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นภาระต่อผู้บริโภค เนื่องจากขณะนี้ผู้ผลิตสินค้าได้ทยอยปรับตัว ลดส่วนผสมน้ำตาลลง หรือหันไปใช้น้ำตาลเทียม หรือสารให้ความหวานอื่นๆ ผสมกับน้ำตาลธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านสุขภาพจะน้อยกว่าแทน
ทั้งนี้ ยกตัวอย่าง เครื่องดื่มส่วนใหญ่จากที่เคยมีความหวานจากน้ำตาลเฉลี่ย 10 กว่ากรัมต่อลิตร ขณะนี้ลดเหลือ 7.3 กรัมต่อลิตร ซึ่งถือเป็นไปตามเป้าหมายของกรมฯ ที่ต้องการให้สินค้ามีความหวานลดลง เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังพบว่าเครื่องดื่มที่มีสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 200 กว่ารายการ ล่าสุดเมื่อเดือนม.ค.66 เพิ่มเป็น 1,800 รายการ หรือเพิ่มมากกว่าเดิม 9 เท่าตัว
ดังนั้น จึงเชื่อว่า เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยกว่า 6 กรัมกำลังมีมากขึ้น ขณะที่ น้ำอัดลมจากที่เคยมีความหวานมากๆ เกิน 10 กรัมต่อลิตร ก็เหลือความหวานเพียง 7.3-7.5 กรัมต่อลิตรในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน มองว่า กรณีกระทรวงอุตสาหกรรม ขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานอีก กิโลกรัมละ 1.75 บาท จะยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ รีบปรับสูตรการผลิตโดยลดน้ำตาลลงไปอีก
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลพบว่า การเก็บภาษีความหวาน มีส่วนทำให้คนไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สอดคล้องปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มคนไทยปี 2561-62 กินน้อยลงหนึ่งคนกิน 85 กรัมลดลงจาก 100
ทั้งนี้ นอกจากจะควบคุมปริมาณน้ำตาลแล้ว ก็อย่าลืมออกกำลังกาย เพื่อมีสุขภาพและรูปร่างที่ดีอย่างยั่งยืนให้ครบถ้วนทุกมิติ นะคะทู๊กคน