
กสทช. ภายใต้บังเหียนของ 'หมอไห่' หรือ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ว้าวุ่นไม่เลิก เกิดความขัดแย้งภายในองค์กรอิสระ หลังบอร์ดและสำนักงานฟ้องกันนัว ไล่มาตั้งแต่คดีลิขสิทธิ์บอลโลกสุดฉาว จนดราม่าเปลี่ยนตัวเลขาฯ เกิดปมร้าวลึก
ล่าสุด รองเลขาธิการ กสทช. สายงานกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทุจริตฯ ม.157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เหตุประธาน กสทช. ไม่ลงนามสั่งแต่งตั้ง สวนมติบอร์ดที่เคาะแล้ว ซ้ำยังตั้งกรรมการสอบตนเพียงผู้เดียว ทั้งที่เป็นการดำเนินการตามมติที่ประชุม เป็นการจงใจกลั่นแกล้งทำให้เกิดความเสียหายต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
โดย ผศ.ดร. ภูมิศิษฐ์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 'หมอไห่' เป็นจำเลย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 เหตุจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีที่ที่ไม่ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง ผศ.ดร. ภูมิศิษฐ์ ตามมติ กสทช. ครั้งที่ 13/2566 ตามระเบียบ กสทช. ว่าด้วยการรักษาการแทนฯ ข้อ 6 ที่ประธานกรรมการ กสทช. มีหน้าที่ต้องแต่งตั้งรองเลขาธิการโดยความเห็นชอบของ กสทช.เป็นผู้รักษาการแทน
ซึ่งกรณีดังกล่าวเกิดจากมติที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 ที่ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยฯ กับ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ กสทช. จากกรณีผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการกรณีสำนักงาน กสทช. สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
และเห็นชอบให้เปลี่ยนตัวรองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. โดยเห็นชอบให้แต่งตั้ง ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ เป็นผู้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ในระหว่างการสอบสวน เนื่องจากเป็นรองเลขาธิการ กสทช. ที่มีอาวุโสสูงสุด ตามระเบียบ กสทช. ว่าด้วยการรักษาการแทนฯ
แต่ต่อมากลับมีข่าวประชาสัมพันธ์ จากงานเลขานุการประธาน กสทช. ในทำนองการเสนอข่าวของสื่อมวลชนเกี่ยวกับมติที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่พนักงาน กสทช. เกิดการกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา
พร้อมทั้งประกาศว่า ประธาน กสทช. ยังไม่ได้มีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งนายไตรรัตน์ และยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้ง ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ ให้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. แทน โดยนายไตรรัตน์ ยังเป็นรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ปฏิบัติหน้าที่และมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับเลขาธิการ กสทช. ทุกประการ ซึ่งในระหว่างนั้น นายไตรรัตน์ ได้ลงนามคำสั่งต่างๆ ในฐานะรักษาการเลขาธิการ กสทช. อยู่เช่นเดิม รวมถึงลงนามยกเลิกคำสั่งให้มีการสอบสวนตนเองอีกด้วย
ซึ่งนอกจาก ประธาน กสทช. จะไม่ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ ตามมติที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 แล้ว ยังมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของ ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ เพียงผู้เดียวทั้งที่เป็นการดำเนินการตามมติที่ประชุม กสทช. ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจงใจกลั่นแกล้งก่อให้เกิดความเสียหายต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
ดังนั้น การกระทำของจำเลย (ประธาน กสทช.) จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยเป็นการประพฤติมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อตำแหน่งหน้าที่การงานของโจทก์ (ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์) ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172