
หลังจาก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย เผยหลังการประชุมนัดแรก ถึงการปรับโครงสร้างหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ดำเนินการตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2566 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.66 โดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเดิม ซึ่งอาจช่วยลดหนี้ลงได้ประมาณ 50%
สำหรับแนวทางการคำนวณหนี้ใหม่ของ กยศ. ที่จะช่วยให้หนี้ลดลงได้เร็วกว่าเดิม สรุปได้ว่า 1.จะหักยอดเงินต้นก่อน 2.หักดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นใหม่ และ 3.หักดอกเบี้ยในกรณีที่ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งต่างจากวิธีการคำนวณแบบเดิมที่เป็น 1.หักดอกเบี้ยในกรณีที่ผิดนัดชำระหนี้ 2.หักดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นใหม่ และ 3.หักยอดเงินต้น
วิธีการคำนวณใหม่นี้จะครอบคลุมลูกหนี้ของ กยศ. จำนวน 3.5 ล้านคน ที่ยังคงมีสถานะเป็นลูกหนี้ โดยจะเริ่มต้นการคำนวณตั้งแต่วันแรกที่เริ่มชำระหนี้ให้กับ กยศ. ตามกฎหมายที่กำหนดไว้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะถูกกำหนดไม่ให้เกิน 1% ต่อปี และจะลดลงเหลือ 0.5% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเดิมที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 7.5% ต่อปี นอกจากนี้ ยังไม่จำเป็นต้องมีผู้ค้ำประกันอีกด้วย
ส่วนลูกหนี้ที่ได้ชำระหนี้ไปบ้างแล้ว เมื่อมีการคำนวณใหม่แล้วพบว่า ยอดหนี้ลดลง สำหรับบางคนที่ชำระหนี้ไม่สมบูรณ์ ยอดหนี้ที่คำนวณใหม่นั้น อาจลดลงจนสามารถปิดยอดได้ ส่วนคนที่ชำระหนี้จนหมดแล้ว ก็จะมีการคำนวณหนี้ใหม่ เพื่อให้การดำเนินการนั้นถูกต้อง
สำหรับการดำเนินการกับกลุ่มลูกหนี้ของ กยศ. มีขั้นตอนดังนี้:
กลุ่มลูกหนี้เร่งด่วน: ประกอบด้วยลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมบังคับคดี เช่น ลูกหนี้ที่ถูกฟ้องและอายัดทรัพย์ กลุ่มนี้มีประมาณ 46,000 ราย กยศ.จะเริ่มคำนวณยอดหนี้สำหรับกลุ่มนี้เป็นอันดับแรก โดยมีแผนจะทำให้เสร็จภายในเดือน ธ.ค.66 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับลูกหนี้กลุ่มนี้
กลุ่มลูกหนี้ที่หมดอายุความในเดือน มี.ค.67: มีลูกหนี้ประมาณ 40,000 ราย กยศ.จะทำการคำนวณหนี้ใหม่ และหากสามารถดำเนินการได้เร็ว กยศ. จะนำลูกหนี้ในกลุ่มอื่นๆ มาคำนวณใหม่เช่นกัน โดยเร่งทำให้เสร็จก่อนที่ระบบหลักจะเสร็จสิ้น
ปัจจุบัน กยศ.ได้ปล่อยเงินกู้ไปแล้วทั้งสิ้น 7 แสนล้านบาท โดยมีผู้กู้รวมทั้งหมด 7 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มดังนี้:
1.กลุ่มผู้กู้ที่ปิดบัญชีไปแล้ว จำนวน 2 ล้านคน
2.กลุ่มผู้กู้ที่ยังอยู่ระหว่างการศึกษา จำนวน 1.3 ล้านคน
3.กลุ่มผู้กู้อีกประมาณ 3.5 ล้านคน ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระหนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: