
วันนี้ (15 พ.ย.66) บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ทำหนังสือชี้แจงผลรายงานผู้สอบบัญชีกรณ๊ไม่ให้ข้อสรุปต่อข้อมูลทางการเงินระหว่างกาล สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.66 ต่อกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยระบุว่า
ตามที่บริษัทฯ ได้นำส่งงบการเงินสำหรับไตรมาสที่ 3/66 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.66 ของบริษัท ซึ่งผู้สอบบัญชีได้สอบทานและรับรองงบการเงิน โดยไม่ให้ข้อสรุปต่อข้อมูลทางการเงินระหว่างกาลที่สอบทาน ดังต่อไปนี้
1.การขาดสภาพคล่องทางการเงิน
ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงิน เนื่องจากกลุ่มบริษัทบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินไม่เป็นไปตามแผน ส่งผลให้บริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้รุ่น JKN239A การผ่อนผันการชำระหนี้รวมถึงการเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงระยะเวลาชำระหนี้หุ้นกู้ดังกล่าวตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2566 ในวันที่ 27 ก.ย.66 ถือเป็นเหตุให้เกิดการผิดสัญญาหุ้นกู้รุ่นอื่นๆ จำนวน 6 รุ่น Cross Default ตามข้อกำหนดสิทธิ
นอกจากนี้ยังถือเป็นเหตุให้เกิดการผิดสัญญาหุ้นกู้แปลงสภาพและหนี้สินเงินกู้จากสถาบันการเงินด้วยเช่นกัน ทำให้บริษัทต้องพิจารณาจัดประเภทหนี้สินประเภทหุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพและหนี้สินเงินกู้จากสถาบันการเงินเป็นหนี้สินหมุนเวียนทั้งหมด ณ วันที่ 30 ก.ย.66
กลุ่มบริษัทจึงมีหนี้สินหมุนเวียนสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนรวมสำหรับงบการเงินรวมจำนวนเงิน 4,285.52 ล้านบาท และงบการเงินเฉพาะกิจการจำนวนเงิน 3,256.15 ล้านบาท สถานการณ์ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาขอขยายการชำระหนี้สิน และไม่เรียกร้องให้ชำระหนี้โดยพลัน (Call Default) และอยู่ระหว่างการหาแหล่งเงินทุนใหม่การปรับโครงสร้างกิจการและการปรับโครงสร้างทางการเงินใหม่
ต่อมาในวันที่ 7 พ.ย.66 ที่ประชุมกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2566 มีมติให้บริษัทยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง โดยในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 บริษัทได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการและในวันที่ 9 พ.ย.66 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท และกำหนดวันไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการในวันที่ 29 ม.ค.67
ด้วยเหตุดังกล่าวทั้งหมดจะส่งผลต่อการเรียกชำระคืนของหนี้สินและอาจถูกฟ้องร้องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพและหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินโดยพลัน และการจ่ายชำระหนี้สินหมุนเวียนจึงขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการปรับแผน จากสถานการณ์ข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในการจ่ายชำระหนี้สินและการดำเนินงานต่อเนื่องของกลุ่มบริษัท
2.การผิดนัดชำระหนี้
ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงิน เมื่อวันที่ 1 ก.ย.66 บริษัทผิดนัดชำระหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2563 ครบกำหนดไถ่ถอนปี 66 (JKN239A) จำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งสิ้น 609.98 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การผิดนัดชำระหนี้รุ่น JKN239A ส่งผลให้เข้าหลักเกณฑ์ เรื่องการผิดนัดชำระตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขอันถือเป็นเหตุผิดนัดของหุ้นกู้รุ่นอื่นๆ ที่บริษัทออกและยังมิได้ไถ่ถอนทั้งหมดและในวันที่ 4 ก.ย.66 ตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้แจ้งการผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ Cross Default และวันที่ 27 ก.ย.66 บริษัทได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวว่าอนุมัติให้เลื่อนการชำระคืนเงินต้นจำนวนเงิน 19.5 ล้านบาทไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค.66
ส่วนที่เหลือจำนวนเงิน 432.45 ล้านบาทให้ชำระคืนในวันที่ 23 ก.พ.67 และปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มจากเดิมร้อยละ 6.60 ต่อปีเป็นอัตราร้อยละ 7 ต่อปี และผู้ถือหุ้นกู้มีมติอนุมัติขอผ่อนผันให้การผิดนัดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในวันครบกำหนด ไถ่ถอนวันที่ 1 ก.ย.66 ไม่ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดและไม่เรียกชำระหนี้ตามหุ้นกู้โดยพลัน ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พ.ย.66 บริษัทได้รับหนังสือจากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เพื่อเรียกให้บริษัทชำระเงินต้นหุ้นกู้และดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัททั้งหมด
ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 20 ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.66 ถึง 30 ก.ย.66 บริษัทไม่สามารถจ่ายชำระหนี้สินเงินกู้จากสถาบันการเงินตามเงื่อนไขในสัญญาจำนวน 3 แห่งจำนวนเงิน 54.64 ล้านบาท และในเดือน ก.ย.และ ต.ค.66 บริษัทได้รับหนังสือเรียกให้ชำระหนี้เงินกู้บางส่วนที่ครบกำหนดชำระแล้ว ตามสัญญาจากสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตามในเดือนกันยายนบริษัทได้ทำหนังสือขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้กับสถาบันการเงิน 3แห่ง และขอให้สถาบันการเงินไม่เรียกร้องให้บริษัทชำระหนี้ทั้งหมดทันที แต่ปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้หนังสือยืนยันจากสถาบันการเงิน ณ วันที่ 30 ก.ย.66 บริษัทยังไม่ได้ตั้งประมาณการความเสียหายและดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่อาจเกิดขึ้นในงบการเงิน
3.การประเมินการด้อยค่า
กลุ่มบริษัทมีมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อยจำนวนเงิน 2,460.31 ล้านบาท เครื่องหมายการค้าจำนวนเงิน 1,333.31 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนประเภทลิขสิทธิ์รายการจำนวนเงิน 6,277.65 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อบ่งชี้ว่าสินทรัพย์ดังกล่าวอาจด้อยค่าและมีค่าความนิยมจำนวน 717.96 ล้านบาท ที่บริษัทต้องทดสอบและประเมินด้อยค่าทุกปี สินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ระหว่างดำเนินการประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ
สถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น มีผลกระทบและมีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งแสดงถึงความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญต่อความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของกลุ่มบริษัท และอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินที่มีสาระสำคัญในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ
นอกจากนี้ บริษัทยังรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าบริษัทได้รับหนังสือแจ้งความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการ และกรรมการชุดย่อยของบริษัทจากกรรมการทั้งสิ้น 5 ท่าน โดยมีรายชื่อกรรมการที่ลาออกดังต่อไปนี้
พลเรือเอกอภิชาติ เพ็งศรีทอง ลาออกจากตำแหน่งกรรมการอิสระ และประธานกรรมการ เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ มีผลตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.66 เป็นต้นไป
น.ส.อนงค์ พานิชเจริญนาน ลาออกจากตำแหน่งกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ เนื่องจากติดภารกิจส่วนตัว มีผลตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.66 เป็นต้นไป
นายสุรชัย ชมภูไพสร ลาออกจากตำแหน่งกรรมการอิสระ ประธานกรรมการตรวจสอบ กรรมการบริหารความเสี่ยง และประธานกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน เนื่องจากติดภารกิจส่วนตัว มีผลตั้งแต่ วันที่ 10 พ.ย.66 เป็นต้นไป
นายยุทธพงศ์ มา ลาออกจากตำแหน่งกรรมการ เนื่องจากทิศทางและกลยุทธ์การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องและความไม่แน่นอนของการทำธุรกิจในอนาคตของบริษัท มีผลตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.66 เป็นต้นไป
นายเอกภิสิทธ์ สุทธิกุลพานิช ลาออกจากตำแหน่งกรรมการ เนื่องจากทิศทางและกลยุทธ์การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องและความไม่แน่นอนของการทำธุรกิจในอนาคตของบริษัท มีผลตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.66 เป็นต้นไป
โดยบริษัทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งกรรมการเข้ามาเพื่อปฏิบัติงานแทนกรรมการที่ลาออกเพื่อให้สามารถดำเนินการกิจการของบริษัทได้ต่อไป
ทั้งนี้ การลาออกของกรรมการจำนวนทั้ง 5 ท่านดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ โดยบัดนี้บริษัทได้ดำเนินการสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อวันที่ 11 พ.ย.66 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 11/2566 ได้มีมติแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่แทนที่กรรมการเดิมที่ลาออก ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
แต่งตั้ง น.ส.รับพร พรหมวงศานนท์ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการแทน นายยุทธพงศ์ มา โดยดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระ ประธานกรรมการ และกรรมการบริหารความเสี่ยง มีผลตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.66 เป็นต้นไป
แต่งตั้งนายสุนทรสิงห์ วิทยปิยานนท์ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการแทน นายสุรชัย ชมภูไพสร โดยดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระ และประธานกรรมการตรวจสอบ มีผลตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.66 เป็นต้นไป
แต่งตั้งนายสรรดิลก จันทร เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการแทน นายเอกภิสิทธ์ สุทธิกุลพานิช โดยดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระ กรรมการตรวจสอบ และประธานกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน มีผลตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.66 เป็นต้นไป
ดังนั้น ภายหลังการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการดังกล่าว บริษัทมีคณะกรรมการทั้งสิ้น 8 คน รายละเอียดดังนี้
น.ส.รับพร พรหมวงศานนท์ กรรมการอิสระ/ประธานกรรมการ/กรรมการบริหารความเสี่ยง
นายปรีชา บุณยกิดา กรรมการอิสระ/กรรมการตรวจสอบ/ประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง/กรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน
นายสุนทรสิงห์ วิทยปียานนท์ กรรมการอิสระ/ประธานกรรมการตรวจสอบ
นายสรรดิลก จันทร กรรมการอิสระ/กรรมการตรวจสอบ/ประธานกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน
นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ กรรมการ/กรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน
นางพิสมัย ลิขิตอำนวย กรรมการ/กรรมการบริหารความเสี่ยง
น.ส.พิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ กรรมการ
น.ส.กมลรัตน์ มงคลครุธ กรรมการ
อนึ่ง ภายหลังการแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่แทนที่กรรมการเดิมที่ลาออกดังกล่าว บริษัทยังคงมีจำนวนกรรมการเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทโดยคณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน และคณะกรรมการบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมของจำนวนกรรมการ ทั้งนี้ หากจำเป็นต่อการประกอบธุรกิจของบริษัท บริษัทอาจสรรหากรรมการเพิ่มเติมเพื่อแทนที่กรรมการเดิมที่ลาออก โดยบริษัทจะดำเนินการสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และมีคุณสมบัติเหมาะสม ที่จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการบริษัทต่อไป