วันนี้ 29 มี.ค.68 แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมศูนย์บัญชาการเหตุการณ์แผ่นดินไหว พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม หลังประเทศไทยได้รับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 ส่งผลกระทบหลายจังหวัด รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล
เมื่อเปิดการประชุม นายกฯ ตั้งคำถามถึงระบบการแจ้งเตือนภัยผ่าน SMS เนื่องจากช่วงเกิดเหตุแผ่นดินไหวเวลาประมาณ 13.20 น. ช่วงเวลาเดียวกัน ตนและรองนายกฯ กำลังปฎิบัติหน้าที่อยู่ จ.ภูเก็ต
ซึ่งนายกฯ ได้ถามย้ำอีกว่า “สิ่งแรกที่ควรเกิดขึ้นเมื่อแผ่นดินไหวคืออะไร ประชาชนควรได้รับรู้อะไรบ้าง SMS เป็นเรื่องแรกที่ประชาชนควรได้รับหรือไม่ ถ้าใช่ หน่วยงานไหนรับผิดชอบเรื่องนี้”
นอกจากนี้ ย้ำถึงความล่าช้าของ SMS ว่า “สิ่งแรกที่ต้องจดไว้คือ SMS ของเราช้าและไม่ทั่วถึง ต้องเร่งแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด และเมื่อ CBC มาถึง ต้องสามารถส่งข้อความได้รวดเร็วและครอบคลุมกว่าเดิม” พร้อมตั้งคำถามเพิ่มเติมว่า หากมีชาวต่างชาติอยู่ในพื้นที่ เรามีระบบแจ้งเตือนที่รองรับหรือไม่
นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ชี้แจงว่า ปกติการแจ้งเตือนแผ่นดินไหวเป็นหน้าที่ของกรมอุตุนิยมวิทยา เมื่อรับทราบข้อมูลแล้ว ปภ. จะประสาน กสทช. เพื่อส่ง SMS แจ้งเตือนประชาชน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ SMS รอบแรกส่งเวลา 14.42 น. ซึ่งล่าช้ากว่าการเกิดเหตุร่วมชั่วโมง โดย SMS รอบแรกส่งได้เพียง 2 แสนเบอร์ เนื่องจากระบบยังไม่รองรับการกระจายข้อมูลจำนวนมากทันที
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ชี้แจงว่า การส่ง SMS ต้องรันนัมเบอร์ได้ทีละ 2 แสนเบอร์ ใช้เวลาถึง 5-6 ชั่วโมงกว่าจะส่งครบ 10 ล้านเบอร์ นอกจากนี้ กสทช. กำลังอยู่ระหว่างรอระบบ Cell Broadcast (CBC) ซึ่งจะทำให้สามารถส่งข้อมูลถึงประชาชนได้พร้อมกันทุกเบอร์ทันที โดยระบบ CBC คาดว่าจะพร้อมใช้งานในเดือนกรกฎาคมนี้
ขณะเดียวกัน นายกฯ สอบถามถึงการหยุดให้บริการระบบคมนาคม ทั้งรถไฟฟ้า BTS, MRT และเส้นทางคมนาคมอื่นๆ โดยตั้งข้อสังเกตว่า “หากเกิดเหตุใหญ่ขนาดนี้ เราจะเชื่อมโยงข้อมูลกับประชาชนได้อย่างไร ถนนไหนบล็อก เส้นทางไหนเปิด ข้อมูลเหล่านี้ต้องส่งผ่าน SMS ได้ทันทีเพื่อความปลอดภัยของประชาชน”
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม รายงานว่า หลังเกิดเหตุ ได้มีคำสั่งตรวจสอบความปลอดภัยโครงสร้างทั้งหมด ทั้งทางอากาศ ทางราง และทางน้ำ รวมถึงตรวจสอบโครงสร้างอาคารสูงและสะพานต่างๆ โดยเฉพาะจุดเสี่ยง เช่น ทางเชื่อมระหว่างทางด่วนกับถนนวิภาวดี-ดินแดง ที่ได้รับผลกระทบจากเครนล้ม โดยระบบขนส่งมวลชนใต้ดินและยกระดับ เปิดให้บริการตามปกติแล้ว ยกเว้นสายสีชมพูและสายสีเหลือง ที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว นายกฯ ได้สรุปการประชุมสั่งงานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการ และให้รายงานผลกลับมาเป็นระยะ ดังนี้
- กระทรวงดีอี, ปภ. และ กสทช. – ให้ ปภ. ที่มีอำนาจหน้าที่เตือนภัย ดำเนินการส่งหนังสือ และข้อความ SMS ที่จะ broadcast ไปให้ กสทช. ในทันที (โดยที่ไม่ต้องรอการประชุม หรือคำสั่งการจากนายกรัฐมนตรี) โดยให้ กสทช. เตรียมงานและการรองรับไว้ให้เพียงพอ และเพิ่ม capacity ในการส่งข้อความ SMS ยามฉุกเฉิน และขอให้ ปภ. เร่งพัฒนาระบบ cell broadcast ที่สามารถส่งข้อความฉุกเฉินไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในไทยได้ทันที ภายในเวลา 3 เดือน
- กรุงเทพมหานคร – เร่งดำเนินการค้นหาผู้สูญหาย และเร่งหามาตรการในการควบคุมการออกใบอนุญาตอาคารสูง และการกำหนดมาตรฐาน ทบทวนผังเมือง และกฎหมายอาคารสูง และตรวจสอบอาคารสูงเพื่อรองรับการเกิดแผ่นดินไหวได้ หากปล่อยปละละเลยแล้วสร้างอาคารเสร็จ แล้วมีผู้อาศัย แล้วไม่มีคุณภาพ จะเกิดปัญหาที่มากกว่าขณะนี้ ขอให้ร่วมมือกับทางกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานพระพุทธศาสนา ในการตรวจสอบโบราณสถานต่างๆ ว่ามีผลกระทบหรือไม่
- กระทรวงกลาโหม – นอกจากการจัดหายุทโธปกรณ์ในการบริการประชาชน รถโรงครัว รถขนส่งแล้ว ขอให้ทางหน่วยงานความมั่นคง เตรียมกำลังพล เพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว
- กระทรวงสาธารณสุข – เตรียมแพทย์สำรอง และเตียงเสริมให้เพียงพอต่อความต้องการ ที่สำคัญการเยียวยาทางด้านจิตใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบและครอบครัว
- กระทรวงมหาดไทย – ปภ. ต้องมีมาตรการที่ชัดเจนในการแจ้งเตือน ถ้าหากไม่มีแนวทางที่ชัดเจน จะต้องมีการจัดการที่เด็ดขาดต่อไป และดิฉันจะติดตามเองเป็นระยะๆ รวมถึงเงินเยียวยาที่จะต้องถึงมืออย่างรวดเร็ว
- กระทรวงคมนาคม – ขอให้มีมาตรการที่ชัดเจนในการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน อาคารสูง ขอให้กรมโยธาธิการ สภาวิศวกรรมสถานในการตรวจสอบที่เข้มงวด
- กระทรวงท่องเที่ยว – ร่วมมือกับทางสภาวิศวกรรม และกรมโยธาธิการ ตรวจสอบโรงแรมขนาดสูง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว