
วันนี้ (10 มี.ค.68) ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Ing Shinawatra โดยกล่าวถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 หรือดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ระยะ 3 (เฟส 3)
โพสต์ข้อความระบุว่า วันนี้ที่ประชุมได้มีการเสนอ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ระยะที่สาม เพื่อเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนในประเทศ
โดยที่กลุ่มเป้าหมายจะเป็นผู้ลงทะเบียนผ่าแอปพลิเคชั่นทางรัฐ มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี และจะต้องใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ เพื่อสแกน QR code ณ ร้านค้าในพื้นที่เขตหรืออำเภอที่ประชาชนมีอยู่ตามทะเบียนบ้าน
คุณสมบัติผู้ผ่านเข้าเกณฑ์เฟส 3
- อายุ 16 ปี บริบูรณ์ก่อนวันที่ 16 ก.ย. 67
- มีรายได้ปีภาษี 2566 ไม่เกิน 840,000 บาท
- มีเงินฝากกับธนาคาร ณ 31 มี.ค. รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
- ไม่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ
- ไม่เคยฝ่าฝืน ถูกระงับสิทธิ์ หรือ ถูกเรียกเงินคืนจากมาตรการหรือโครงการอื่นๆ ของรัฐบาล

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบหลักการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟส 3 แจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งเป็นครั้งแรกของการจ่ายเงินดิจิทัลวอเล็ต ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน
ขณะที่ไทม์ไลน์ของโครงการนั้น ขั้นตอนต่อจากนี้ จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็ว ๆ นี้ ก่อนจะเริ่มต้นโครงการเร็วที่สุด คือไตรมาสที่ 2 หรือต้นไตรมาสที่ 3 ปี 2568 โดยดูความเหมาะสมของเงินงบประมาณที่มีอยู่เป็นหลัก
ทั้งนี้ สาเหตุที่กำหนดโอนเงินให้กลุ่มอายุ 16-20 ปีก่อน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่อยู่ในวัยเรียน สามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายแบ่งเบาภาระผู้ปกครองได้ คาดว่ากระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี และมีปรับเปลี่ยนเงื่อนไขใหม่เกือบทั้งหมด เน้นใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งร้านค้าสามารถขึ้นเงินสดได้ ไม่เน้นเฉพาะร้านค้าเสียภาษีเท่านั้น

ล่าสุดวันที่ 11 มี.ค.68 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทเฟส 3 ที่จะจ่ายให้กับกลุ่มอายุ 16-20 ปี ซึ่งเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้ระบุว่า สามารถจ่ายค่าเทอมได้นั้น จะเป็นในรูปแบบลักษณะใด
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ค่าเทอม ค่าโทรศัพท์มือถือ และค่าบริการต่างๆ (ค่าน้ำ-ค่าไฟ) ถือว่าเป็นค่าบริการ ค่าเทอมก็ถือว่าเป็นการซื้อบริการ เพราะฉะนั้นจะไม่รวมอยู่ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยยืนยันว่า “ไม่ได้”
“คิดง่ายๆ เราให้ซื้อสินค้า เงินต้องเอาไปแลกสินค้าและบริการ อุปโภคหรือบริโภค แต่บริการนั้นไม่ได้ โดย ค่าน้ำ ค่าไฟ ถือเป็นค่าบริการ จึงไม่สามารถใช้จ่ายได้”นายเผ่าภูมิ กล่าว

อย่างไรก็ตาม วานนี้ (11 มี.ค.68) นายเผ่าภูมิกล่าวว่า สำหรับการใช้จ่ายและร้านค้าที่เข้าร่วม จะพิจารณายกเลิกการใช้เนกาทีฟ ลิสต์ (Negative List) หรือกลุ่มสินค้าห้ามซื้อ 19 รายการ
อาทิ สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม ผลิตภัณฑ์กัญชาและกระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องมือสื่อสาร
แต่เปลี่ยนมาเป็นการห้ามไม่ให้ร้านค้าบางประเภทเข้าร่วมแทน เช่น ผับ บาร์ ร้านขายสุรา หรือบุหรี่เพียงอย่างเดียว ร้านขายทอง ขายเพชร สถานีบริการน้ำมัน ร้านขายลอตเตอรี่ เป็นต้น
ส่วนร้านโชห่วย ร้านธงฟ้า ร้านอาหารที่มีการขายสุรา บุหรี่ รวมอยู่ด้วยสามารถเข้าร่วมได้ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าสินค้าไหนซื้อได้หรือไม่ได้ ส่วนร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น ยังเข้าร่วมได้

นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ยังเสนอปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการแคชเอาต์ หรือการให้ร้านค้าถอนดิจิทัลออกมาเป็นเงินสดได้ง่ายขึ้น โดยจากเดิมร้านค้าที่ถอนเงินสดได้จะต้องอยู่ในระบบภาษีเท่านั้น เปลี่ยนมาเป็นร้านค้ารายย่อยที่ไม่อยู่ในระบบภาษี ก็สามารถถอนเงินสดได้
“อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังยังคงเงื่อนไขให้ประชาชนใช้จ่ายครั้งแรกเฉพาะร้านค้ารายย่อยในอำเภอ และกำหนดให้ร้านค้าต้องนำเงินดิจิทัลไปใช้จ่ายครั้งที่ 2 หรือครั้งต่อๆ ไปกับร้านค้าด้วยกัน จากนั้นถึงจะเริ่มถอนเป็นเงินสดได้”นายเผ่าภูมิกล่าว