โชห่วย-ห้างใหญ่แย่! ยอดรูดบัตร “ติดลบ” รับเศรษฐกิจไทยซึม

แย่กันหมด! “แบงก์กรุงเทพ“ เผยเศรษฐกิจป่วน กดโชห่วย-ห้างใหญ่แย่ พบยอดรูดบัตร “ติดลบ” รับเศรษฐกิจไทยซึม มองจีดีพีปี‘68 แย่สุดเหลือ 1.5%

วันนี้ (29 มิ.ย.68) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยปี 2568 จะขยายตัวที่ 2% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวที่ 3% สาเหตุจากเริ่มปีนี้ 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยภาคการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนเอกชน และการลงทุนจากภาครัฐบาลชะลอตัวลง

ซึ่งหลังจากเทรนด์เรื่องส่งออก ภาษีสหรัฐฯ และการท่องเที่ยวเริ่มซึมตัว และเรื่องข่าวลือต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงเรื่องแผ่นดินไหว ทำให้ปีนี้มีแรงต้านเยอะ ภาคการส่งออกที่คาดว่าจะดี เศรษฐกิจโลกที่คิดว่าจะฟื้นคงไม่เป็นไปตามที่คิดไว้

หากย้อนไปต้นปี 2568 การส่งออกเหมือนจะดี แต่ช่วงครึ่งหลังปีนี้เริ่มไม่แน่ใจ เนื่องจากช่วงต้นปีเร่งฟื้นตัว เพราะกังวลปัญหาภาษีสหรัฐฯ จากปกติคนสหรัฐฯ สต็อกสินค้า 3 เดือน ขณะนี้น่าจะสต็อกสินค้าไปถึงช่วงคริสมาต์แล้ว ทำให้ปลายปีนี้การส่งออกอาจจะไม่ฟื้นขึ้นเหมือนเดิม

ขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวมีปัญหาเกิดขึ้น ตั้งแต่ต้นเดือนก.พ. มีเหตุการณ์นักแสดงจีนถูกลักพาตัวในไทย ทำให้จากเดิมการท่องเที่ยว +20% ตอนนี้เริ่มติดลบ 2-3% ซึ่งกว่าจะกลับมาได้ไม่ง่าย เพราะจากอดีตเมื่อสถานการณ์ในประเทศมีปัญหา การท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวภายใน 4 เดือน แต่ขณะนี้ผ่านมา 5 เดือน นักท่องเที่ยวยังไม่กลับเข้าไทย ถ้าปีนี้ได้นักท่องเที่ยวถึง 35.5 ล้านคน เหมือนปีก่อนก็ดีแล้ว

“ส่วนนักท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมาคือกลุ่มทัวร์จีน และนักท่องเที่ยวเมืองเล็กๆ แต่นักท่องเที่ยวรูปแบบครอบครัวยังมาอยู่ นักท่องเที่ยวยุโรปมาไทย +18% แต่โดยรวมจำนวนยังไม่ได้ ทำให้หนักใจว่าการส่งออก ท่องเที่ยวก็ไม่ดี”ดร.กอบศักดิ์กล่าว

นอกจากนี้ ปัญหาการเมืองทำให้ความกระฉับกระเฉงในการขับเคลื่อนนโยบายลดลง ทำให้แรงส่งการเมืองจากนโยบายภาครัฐมีบ้างแต่ไม่มาก ส่งผลให้ปรับจีดีพีลง 2% รวมความเสี่ยงแล้ว หากแย่สุดจีดีพีอาจจะอยู่ที่ 1.5%

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังเร็วเกินไปจะปรับลดประมาณการ เพราะขณะนี้ไม่รู้ว่าทรัมป์จะทำไรเพิ่ม จะให้ภาษีไทยเท่าไหร่ และโจทย์สำคัญคือทำอย่างไรให้ลูกค้าผ่านไปได้ เพราะเศรษฐกิจไทยน่ากังวลใจ

ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า เริ่มเห็นสัญญาณจากร้านสะดวกซื้อยอดขายเดือนเม.ย.-พ.ค.68 ไม่ดี ห้างใหญ่ๆ ยอดรูดบัตรติดลบ ยอดขายสินค้าไม่ดี ร้านอาหารปิด รวมถึงมีการปิดโรงงาน โดยรวมปีนี้โจทย์ที่แท้จริงคือทำให้ลูกค้าอยู่ได้ และขอให้ประคับประคองตน และปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ยุคใหม่

ขณะนี้ต้องดูความเสี่ยงในประเทศและนอกประเทศ เพราะจากสงครามอิหร่าน-อิสราเอล เกิดความขัดแย้ง 12 วัน ทำให้มองว่าโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง

ส่วนท่องเที่ยวกังวลใจ เพราะท่องเที่ยวไทยไม่ใช่เบอร์ 1 แล้ว เพราะญี่ปุ่นเยอะกว่าไทย รวมถึงมาเลเซียเริ่มตีตื้นขึ้นมาแล้ว ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้นักธุรกิจลังเลใจ รวมถึงปัญหานอกประเทศ ทำให้การลงทุนชะลอตัวลง

ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า มองกรณีที่ทรัมป์ ขึ้นภาษีไทยจากระดับ 36-37% ลดลงในระดับ 15-20% ถือเป็นระดับที่ดีแล้ว ไม่คาดหวังว่าจะลดลงที่ 0% ซึ่ง 10% ถือว่าหรูมากแล้ว และ 15-20% ถือว่าใช้ได้ ถ้าเกิดเป็นลักษณะนี้สินค้าไทยจะได้เปรียบสินค้าจีน ที่ถูกเก็บภาษีที่ 30% อย่างน้อย ทำให้การส่งออกดีขึ้นช่วงปลายปีนี้

เพียงแต่ไทยจะมีปัญหาอีกคือสินค้าจีน ที่ส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ไม่ได้ ก็ต้องหาตลาดใหม่เพื่อส่งสินค้าให้ได้ ซึ่งการให้ปรับ 90 วัน คือให้เวลาในการปรับตัว เพราะถ้าการเก็บภาษีมีผลทันทีทำให้ธุรกิจลำบาก เมื่อมีระยะเวลา 90 วัน ทำให้ทุกคนต้องรีบส่งของก่อน 90 วัน และเพื่อหาตลาดใหม่ในพื้นที่ต่างๆ

ช่วง 1-2 เดือนนี้สหรัฐฯ จะเฉลยตัวเลขภาษี จะทำให้รู้ว่าไทยอยู่ระดับใด หากไทยต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน หรือคู่แข่ง เศรษฐกิจไทยจะไปได้ ดังนั้น การปรับประมาณการต้องรอดูตัวเลขนี้ก่อน

ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า หลังจากแผ่นดินไหว ทำให้การท่องเที่ยวซึมตัว รวมถึงเกิดการประท้องในประเทศ ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าการเมืองจะจบอย่างไร ทำให้นักท่องเที่ยวมองว่าเป็นความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังเร็วเกินไปจะฟันธงว่าการเมืองจะจบอย่างไร จึงยังปรับประมาณการชัดเจนไม่ได้

อย่างไรก็ตาม การลงทุนโดยตรงดีเสมอ เช่น เดือนพ.ค. เปิดการประชุม 1 ครั้งได้เงินลงทุนนับแสนล้านบาท ล่าสุด มีการประชุมมีเงินลงทุน 2.5 หมื่นล้านบาท มองว่าไทยยังเป็นจุดหมายการลงทุน ซึ่งไทยต้องดูว่าทำอย่างไรจะเปิดให้นักลงทุนลงทุนได้ไวขึ้นจะดีกับไทย รวมถึงทำอย่างไรเปิดให้ชาวต่างชาติมาอยู่ในไทยมากขึ้น เพื่อเปิดรับการลงทุนในไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ หากงบประมาณมีจำกัด ควรจะเลือกใส่ไปในส่วนสำคัญ เช่น การอัดเงินไปที่ ททท. ให้ทำโปรโมชั่นดีๆ จะทำให้ดีขึ้น การส่งออก ต้องหาประเทศอื่นๆ ที่ดีกว่าสหรัฐฯ เพื่อหาตลาดใหม่ นอกจากนี้ เร่งให้รัฐบาลเร่งเจรจาเพราะสหรัฐฯ ต้องการผลลัพธ์ที่ดี ถ้าไทยทำได้ดีกว่าประเทศอื่นก็จะเป็นสิ่งสนับสนุนเศรษฐกิจได้