
วันนี้ (16 พ.ค.68) นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุถึงการคาดการณ์รายงานเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปี 2568
ข้อความระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปี 2568 สภาพัฒน์จะรายงานตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัว 2.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และ 0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า (ปรับฤดูกาลแล้ว)
โดยแรงสนับสนุนหลักมาจาก การใช้จ่ายภาครัฐ ทั้งเงินโอนให้ประชาชนและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อีกทั้งการส่งออกที่เร่งตัวก่อนความตึงเครียดการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ในเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม พื้นฐานการฟื้นตัวยัง เปราะบางและไม่ทั่วถึง
ปัจจัยขับเคลื่อนและฉุดรั้งเศรษฐกิจ
ปัจจัยบวก:
การส่งออกฟื้นตัว โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าเกษตร
รายได้เกษตรกร ปรับดีขึ้นจากราคาผลผลิตหลัก
การท่องเที่ยว ฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้นักท่องเที่ยวจีนชะลอลงจากปัญหาความปลอดภัย
การลงทุนภาครัฐ และ เงินโอนช่วยเหลือ หนุนการบริโภคในสินค้าจำเป็นและบริการ
ปัจจัยลบ:
การบริโภคสินค้าคงทนและลงทุน เช่น รถยนต์และคอนโดฯ ชะลอลงจากความเชื่อมั่นที่ลดลงและเงื่อนไขสินเชื่อที่เข้มงวดธนาคารปฏิเสธสินเชื่อมากขึ้น จากความเสี่ยงที่สูงขึ้น
การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังอ่อนตัว แม้ส่งออกดีขึ้น โดยบางส่วนเกิดจากการนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อส่งต่อไปสหรัฐฯเหตุการณ์แผ่นดินไหวปลายมีนาคม กระทบความเชื่อมั่นชั่วคราว
นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
รัฐบาลยังมี ช่องว่างทางการคลัง แต่มีแนวโน้มจะหันไปใช้ มาตรการเฉพาะจุด มากกว่าการแจกเงินแบบกว้าง เช่น โครงการ สร้างงานในชนบท ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่น เช่น ระบบชลประทาน สนับสนุน SMEs และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
ความเป็นไปได้ของข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ
ไทยมีแนวโน้มจะบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ภายใน 90 วัน โดยตั้งเป้าอัตราภาษีเท่ากับประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนามที่ 10% แบบเท่ากันทุกหมวดสินค้า ซึ่งจะลดผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทย
แต่หากไม่สามารถตกลงได้ หรือเงื่อนไขแย่กว่าประเทศคู่แข่ง อาจทำให้
การส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง
FDI ไหลออก ไปยังเวียดนามหรือสหรัฐฯ แทน
ไทยอาจต้อง
นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น (เนื้อหมู เนื้อวัว ถั่วเหลือง เครื่องบิน)
ลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี
ส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568
คาดว่าเศรษฐกิจทั้งปีจะโตเพียง 1.8% ต่ำกว่าปี 2567 เล็กน้อย เนื่องจาก:
ความไม่แน่นอนทางการค้าและนโยบาย โดยเฉพาะการตัดสินใจเรื่องภาษีตอบโต้ในเดือนกรกฎาคม
การลงทุนเอกชนและการผลิตที่ยังอ่อนแรง
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักธุรกิจที่ยังอ่อน
อย่างไรก็ตาม มีโอกาสหาก
ข้อตกลงภาษีออกมาในทางบวก
การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ฟื้นตัว
การส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรยังแข็งแกร่ง
FDI กลับมา หากความชัดเจนทางนโยบายเพิ่มขึ้น
การดำเนินนโยบายการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าจะ ลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน ก่อนผลการตัดสินภาษีในเดือนกรกฎาคม โดยมีเป้าหมายเพื่อ: ฟื้นฟูความเชื่อมั่น ลดภาระหนี้ หนุนอุปสงค์ในประเทศ
การลดดอกเบี้ยไม่น่าจะกระทบเสถียรภาพทางการเงิน เพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทรงตัว หนี้ครัวเรือนลดลง การเติบโตของสินเชื่อยังต่ำ แต่เพียงนโยบายการเงินอาจไม่พอ จำเป็นต้องใช้ นโยบายการคลังและโครงสร้าง ร่วมด้วยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว