
วันนี้ (3 ก.ค.68) ผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ครายหนึ่ง ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ “กัญชา” ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นถึงกรณีที่ “กัญชา” ถูกนำกลับมาเข้าบัญชียาเสพติด
ธุรกิจกัญชาแห่งความหวัง 3 ปีแห่งความฝัน ที่ถูกฆ่าทิ้งด้วยปลายปากกา
เมื่อปีที่ผ่านมา ผมตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ในชีวิต
ผมทุ่มเงินกว่า 800,000 บาท ตึกสัญญายาว 3 ปีจ่ายล่วงหน้า คิดแล้วก็ขนลุก…ยังไม่รวมค่าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ปุ๋ย สารอาหาร ค่าไฟฟ้า ค่าแรง ค่าทริม ค่าบรรจุ…
แต่วันนี้ ผมนั่งจ้องพาดหัวข่าวรัฐมนตรีออกมา “ขอทบทวน” การปลดล็อก พร้อมประกาศร่างกฎหมายควบคุมใหม่ที่กลับไปเหมือนก่อนปี 2565
แล้วประชาชนอย่างผมล่ะครับ?
เราไม่ได้อยู่ในโต๊ะประชุม ไม่มีใครถามว่าเราทนขาดทุนได้ไหม
ไม่มีใครสนใจว่าผู้ประกอบการตัวเล็กที่ต้องทำตามกฎหมายที่เจาะจงนายทุนทุกข้อ
การแสดงตนอย่างเปิดเผย กลับกลายเป็นเหยื่อของการเมือง ความขัดแย้ง และอคติจากคนไม่เคยสัมผัสวงการจริง
เราผิดอะไร? ผิดที่เชื่อในนโยบายของรัฐหรือ?
เสียงของเราถูกกลบด้วยคำว่า “ยาเสพติด” ทั้งที่ทุกดอก ทุกต้นของเราถูกปลูกภายใต้ระบบปิด มีการบันทึกสายพันธุ์ มีการควบคุมสารตกค้าง มีใบ COA แต่สุดท้าย…เราก็เหมือนเป็นอาชญากรในสายตาคนบางกลุ่มอีกครั้ง
แล้วสัญญาเช่า 3 ปีที่เซ็นไว้ล่ะ?
จะให้ยกเลิกก็ไม่ได้ เขาไม่คืนเงิน จะไปปลูกอย่างอื่นก็ไม่มีทุนแล้ว
จะขายทิ้งก็ไม่มีใครซื้อ เพราะไม่มีใครกล้าเข้ามาในตลาดที่รัฐบาลพร้อม “กลับคำ” ได้ตลอดเวลา
คนที่นั่งโต๊ะรัฐสภาอาจไม่รู้ว่า ข้อความสั้นๆ ในร่างกฎหมาย 3 บรรทัดนั่น มันพังความฝันของครอบครัวผมทั้งครอบครัว
ผมไม่ต้องการให้กัญชาถูกกฎหมายเพื่อจะให้ใครไปเมายา
แต่ผมต้องการให้คนที่ตั้งใจทำมาหากิน ไม่ต้องอยู่ภายใต้ความกลัว
กลัวว่าพรุ่งนี้จะผิดกฎหมาย กลัวว่าร้านจะถูกปิด กลัวว่าชีวิตจะพัง
“เศรษฐกิจสีเขียว” ที่หวังจะโต กลับกลายเป็นเศษซากของคำว่า “นโยบายไม่ต่อเนื่อง”
สุดท้ายคนที่เจ็บไม่ใช่นักการเมือง
แต่เป็นประชาชนธรรมดา ที่อยากมีอนาคต
