สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปั๊ม ปตท. และบางจาก แจ้งปรับราคา 3 ครั้ง โดยครั้งแรก วันที่ 22 มี.ค. น้ำมันกลุ่มเบนซิน ลดราคา 60 สต./ลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลราคาเดิม ถัดมา วันที่ 24 มี.ค.กลุ่มดีเซล ลดราคา 50 สต./ลิตร ส่วนกลุ่มเบนซิน ขึ้นราคา 50 สต./ลิตร และวันที่ 25 มี.ค. กลุ่มเบนซิน ขึ้นราคา 40 สต./ลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลราคาเดิม
รวมทั้งสัปดาห์ กลุ่มดีเซล ลดราคา 50 สต. ส่วนกลุ่มเบนซิน ขึ้นราคา 30 สต./ลิตร
พรุ่งนี้ เบนซินขึ้นราคา 40 ส.ต. มีผลเช้า 25 มี.ค. เวลา 05.00 น.ส่งผลให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มเช้าวันนี้ (27 มี.ค.66) เป็นดังนี้
ปั๊ม ปตท.
แก๊สโซฮอล์ 95 = 35.75 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ E20 = 33.44 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ E85 = 33.89 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 91 = 35.48 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมียม = 43.04 บาท/ลิตร
เบนซิน 95 = 43.56 บาท/ลิตร
ดีเซล B7 = 33.44 บาท/ลิตร
ดีเซล = 33.44 บาท/ลิตร
ดีเซลหมุนเร็ว B20 = 33.44 บาท/ลิตร
ดีเซลพรีเมียม = 42.56 บาท/ลิตร
ปั๊มบางจาก
แก๊สโซฮอล์ 95 = 35.75 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ E20 = 33.44 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ E85 = 33.89 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 91 = 35.48 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมียม = 45.64 บาท/ลิตร
ดีเซล B7 = 33.44 บาท/ลิตร
ดีเซล = 33.44 บาท/ลิตร
ดีเซลหมุนเร็ว B20 = 33.44 บาท/ลิตร
ดีเซลพรีเมียม = 42.66 บาท/ลิตร
ปั๊มเชลล์
แก๊สโซฮอล์ 95 = 36.94 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ E20 = 34.34 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 91 = 36.64 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมียม = 45.84 บาท/ลิตร
ดีเซล B7 = 33.74 บาท/ลิตร
ดีเซล = 33.74 บาท/ลิตร
ดีเซลหมุนเร็ว B20 = 33.74 บาท/ลิตร
ดีเซลพรีเมียม = 44.64 บาท/ลิตร
ปั๊มเอสโซ่
แก๊สโซฮอล์ 95 = 35.75 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ E20 = 33.44 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 91 = 35.48 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 = 45.84 บาท/ลิตร
ดีเซล B7 = 33.44 บาท/ลิตร
ดีเซล = 33.44 บาท/ลิตร
ดีเซลพรีเมียม = 43.76 บาท/ลิตร
ด้าน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน 27 มี.ค.66 คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 65-75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (27-31 มี.ค.66)
ราคาน้ำมันดิบคาดได้รับแรงกดดันจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงจนถึงสิ้นปี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อวิกฤตในภาคธนาคารสหรัฐฯ เพิ่มเติม
ขณะที่ ความกังวลของวิกฤตในภาคธนาคารยุโรปผ่อนคลายลงจากเข้าซื้อธนาคารเครดิตสวิส โดยธนาคารยูบีเอสซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสวิสเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากอุปทานซึ่งคาดว่าจะยังคงตึงตัวต่อเนื่อง หลังรัสเซียตัดสินใจลดกำลังการผลิตที่ระดับ 500,000 บาร์เรลต่อวัน จนถึงเดือน มิ.ย.66
และกลุ่ม OPEC+ ยังคงนโยบายการลดกำลังการผลิตที่ระดับ 2.0 ล้านบาร์เรลต่อวันเช่นเดิม ขณะที่ ความต้องการใช้น้ำมันของจีนและอินเดียมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ในวันที่ 21-22 มี.ค.66 มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% แม้อัตราเงินเฟ้อเดือน ก.พ.66 ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 6.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน
ขณะที่ คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed’Dot Plot) คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะยืนที่ระดับ 5.1% ในช่วงสิ้นปี 2566 และปรับลดลงสู่ระดับ 4.3% ในสิ้นปี 67 ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยแถลงของประธานเฟดที่แสดงความเห็นว่า จะไม่ลดดอกเบี้ยในปีนี้ การตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระดับในระดับสูงต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบมากขึ้นต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารสหรัฐฯ และกดดันความต้องการใช้น้ำมันของโลก
ความกังวลต่อวิกฤตภาคธนาคารในยุโรปผ่อนคลายลง หลังธนาคาร Union Bank of Switzerland (UBS) บรรลุข้อตกลงซื้อธนาคาร Credit Suisse (CS) ที่มูลค่า 3 พันล้านฟรังก์สวิส ผ่านการสนับสนุนจากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ และมีการอนุมัติสินเชื่อเบื้องต้นเพื่อเสริมสภาพคล่องราว 1 แสนล้านฟรังก์สวิส
นายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รองนายกรัฐมนตรีของรัสเซียประกาศขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตที่ระดับ 500,000 บาร์เรลต่อวัน เพื่อตอบโต้มาตรกำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบ (Price cap) จากเดือน มี.ค. เป็นเดือน มิ.ย. ขณะที่ กลุ่ม OPEC+ เปิดเผยว่าทางกลุ่มผู้ผลิตยังคงแผนเดิมในการปรับลดกำลังการผลิตที่ 2.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ในช่วงที่ผ่านมาตลาดน้ำมันจะได้รับแรงกดดันจากความกังวลต่อวิกฤตในภาคธนาคารของสหรัฐฯ และยุโรป
Wood Mackenzie คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของจีนมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นที่ระดับ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปี 66 จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19
ขณะที่ ความต้องการใช้น้ำมันของอินเดียมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน หลังตัวเลขการนำเข้าน้ำมันดิบของอินเดียในเดือน ก.พ.66 ปรับเพิ่มสูงขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สู่ระดับ 22.57 ล้านตัน ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 20 ปี
เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.8 ริกเตอร์ ทางภูมิภาคตอนใต้ของเอกวาดอร์ เมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้การผลิตน้ำมันดิบของประเทศได้รับผลกระทบราว 24,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้บริษัท Petroecuador ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติของเอกวาดอร์ได้ประกาศเหตุสุดวิสัย (Force Majeure) ที่แหล่งผลิตน้ำมัน Eden Yuturi ซึ่งมีกำลังผลิต 90,000 บาร์เรลต่อวัน จากเหตุการณ์ประท้วงของชาวพื้นเมือง
เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของจีน เดือน มี.ค.66 ซึ่งคาดว่า จะปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 50.5 และตัวเลขทางเศรษฐกิจของยุโรป ได้แก่ อัตราการว่างงาน ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 6.6% และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน มี.ค.66 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 8.2%
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (20-24 มี.ค.66)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 1.62 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 69.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 1.20 หรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 74.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 74.96 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
หลังตลาดคลายกังวลได้บางส่วน เนื่องจากธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่าง ยูบีเอส ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อเครดิต สวิส เพื่อที่จะกอบกู้ธนาคารอันดับ 2 ของประเทศ นอกจากนี้ ธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ต่างพากันแถลงเสริมสภาพคล่องและสนับสนุนสถาบันการเงินอื่นๆ ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นไปตามที่ตลาดคาดที่ระดับ 0.25%
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุด วันที่ 17 มี.ค.66 ปรับเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 481.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล