ปรับค่า Ft สร้างสมดุลผู้ใช้ไฟและ กฟผ. ส่งผล ค่าไฟฟ้าขึ้น !

เดือนกันยายนทุกคนเตรียมฉีกกระเป๋า ค่า Ft ปรับเพิ่ม ส่งผล ค่าไฟฟ้าขึ้น !

สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) สร้างสมดุลระหว่าง ผู้ใช้ไฟและ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ปรับเพิ่มเอฟที (Ft) อีก 68.66 สตางค์ สะท้อนนำเข้า Spot LNG

ซึ่งในรอบเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2565 ปรับเพิ่มค่าเอฟทีอีก 68.66 สตางค์/หน่วย รวมเป็นค่าเอฟทีทั้งสิ้น 93.43 สตางค์/หน่วย

ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 บาท/หน่วย

โดยทาง กกพ. แจงการปรับค่าเอฟทีว่าต้องปรับขึ้น เพื่อปรับสมดุลระหว่าง ผู้ใช้ไฟฟ้าและ กฟผ. ดังนี้

1. การคิดค่าเอฟทีช่วงเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2565 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 236.97 สตางค์/หน่วย ไม่รวมที่ กฟผ. รับภาระต้นทุนแทนผู้ใช้ไฟฟ้า ประมาณ 83,010 ล้านบาท

2. การบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน กกพ. ปรับเพิ่มค่าเอฟทีเพียง 68.66 สตางค์/หน่วย รวมเป็นค่าเอฟทีทั้งสิ้น 93.43 สตางค์/หน่วย

การขึ้นค่าเอฟทีในช่วงปี 2565 – 2566 นี้มีสาเหตุหลักๆ มาจากสัดส่วนการใช้ ก๊าซธรรมชาติเหลว ในตลาดจร (Spot LNG) ที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อทดแทน ก๊าซธรรมชาติ ในอ่าวไทยและพม่าที่ปริมาณลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งความผันผวนของ Spot LNG ในตลาดโลกสรุปได้ ดังนี้

1. ปริมาณก๊าซในประเทศที่ลดลง จากเดิมสามารถจ่ายก๊าซได้ 2,800 – 3,100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน (MMSCFD) ลดลงเหลือราว 2,100 – 2,500 MMSCFD ทำให้ต้องนำเข้า Spot LNG เข้ามาเสริม หรือเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมันเพื่อทดแทนปริมาณก๊าซที่ขาด แต่ในช่วงสงครามรัสเซีย – ยูเครน ส่งผลให้ราคา Spot LNG มีราคาแพงและผันผวนในช่วงประมาณ 25-50 USD/MMBTU เทียบกับก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่มีราคาประมาณ 6-7 USD/MMBTU ดังนั้นการทดแทนก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยด้วย LNG หรือใช้น้ำมันจะส่งผลให้ค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

2. การผลิตก๊าซจากพม่าที่ไม่สามารถผลิตได้ตามกำลังการผลิตเดิมและมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี 2565 และต้นปี 2566 ซึ่งอาจทำให้มีความต้องการนำเข้า LNG มากกว่าที่ประมาณการไว้เดิม

3. สถานการณ์ผู้ผลิต LNG ชะลอการลงทุนอันเนื่องมาจากมีความต้องการใช้พลังงานน้อยในช่วงโควิด-19 ในปลายปี 2564 หลังจากที่หลายประเทศเริ่มฟื้นตัวจากโควิดทำให้ความต้องการใช้ LNG มีมากกว่ากำลังการผลิตในตลาดโลก ส่งผลกระทบต่อราคาและการเจรจาสัญญาซื้อขาย LNG โดยเริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2564 และต่อเนื่องตลอดปี 2565 และคาดว่าจะต่อเนื่องไปในปี 2566

4. สภาวะสงครามรัสเซีย – ยูเครน ทำให้รัสเซียลด หรือตัดการจ่ายก๊าซธรรมชาติทางท่อไปยังยุโรป ทำให้ความต้องการ LNG เพิ่มขึ้นอย่างมากในยุโรปและส่งผลกระทบทางอ้อมต่อราคา LNG ในตลาดเอเชีย

ความไม่แน่นอนของ แหล่งก๊าซธรรมชาติ ในประเทศไทยและในพม่า รวมทั้งสภาวะตลาดที่ไม่เอื้อต่อการเจรจาสัญญา LNG ทำให้ กกพ. ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อใช้เชื้อเพลิงสำรอง เช่น น้ำมันเตา น้ำมันดีเซล หรือเชื้อเพลิงประเภทอื่น เช่น ถ่านหิน พลังน้ำ และพลังงานทดแทน เพื่อรองรับ สถานการณ์ขาดแคลนก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นสถานการณ์ต่อเนื่องจากปลายปี 2565 และต่อเนื่องไปตลอดปี 2566 ตามแนวทางการบริหารเชื้อเพลิงในสภาวะวิกฤตที่ได้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ไปแล้ว

กกพ. จึงขอให้มีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดเพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ลดการนำเข้า Spot LNG และเพิ่มความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก: กกพ.

คลิปอีจันแนะนำ
ชัยวัฒน์ เชื่อในกระบวนการศาล หลักฐานผมสู้ได้