ไทยทำได้!!! พัฒนาและผลิต ถั่งเช่าไหมไทย สมุนไพรทองคำ เพื่อ คนรักสุขภาพ

กรมหม่อนไหม เดินหน้าถ่ายทอดผลิต ถั่งเช่าไหมไทย สมุนไพรทองคำ เพื่อ คนรักสุขภาพ

กรมหม่อนไหม พัฒนาองค์ความรู้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกร ต่อยอดงานวิจัยการผลิต ถั่งเช่าไหมไทย ตามหลักวิชาการอย่างปลอดภัย เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารป้อนสู่ตลาด คนรักสุขภาพ

อธิบดีกรมหม่อนไหม เล่าว่า เมื่อเร็วๆนี้ กรมหม่อนไหม ทางศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ (ศมม.เชียงใหม่) ได้จัดฝึกอบรมหลักสูตร “การพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก ไหมไทย เพื่อผลิตเป็น ถั่งเช่าไหมไทย ” ให้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรโครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริฯ บ้านขุนแตะ ณ ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ต.หนองควาย อ.แม่เหียะ จ.เชียงใหม่

เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากไหมไทยเพื่อผลิตเป็น ถั่งเช่าไหมไทย แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกร ให้สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการผลิตถั่งเช่าไหมไทย สร้างรายได้ สร้างอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ โดยดำเนินการภายใต้มาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของ โควิด19 และประกาศของคณะกรรมการโรคติดต่อของจังหวัดเชียงใหม่อย่างเคร่งครัด

การผลิต ถั่งเช่าไหมไทย เป็นความสำเร็จจากการศึกษาวิจัย ระหว่าง กรมหม่อนไหม ร่วมกับคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ เมื่อปี 2556 และได้รับอนุสิทธิบัตรการผลิตถั่งเช่าไหมไทย เมื่อปี 2558 โดยการผลิต ถั่งเช่าไหมไทย นั้น เป็นการนำผลผลิตจากไหม (ดักแด้ไหมไทย) มาเพิ่มมูลค่าโดยแปรรูปเป็น ถั่งเช่า เรียกว่า ถั่งเช่าไหมไทย เป็นเห็ดที่เจริญบนดักแด้ไหม ประกอบด้วยสารสำคัญหลายชนิด เช่น อะดีโนซีน (Adenosine) คอร์ไดเซปิน (Cordycepin) และสารหลายชนิด มีสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน เพิ่มการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังสามารถป้องกันรังสี UVB และช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้

กรมหม่อนไหม ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค จึงได้ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน และพิษเรื้อรังในหนู พบว่าสามารถบริโภคด้วยปริมาณ 5,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนัก นอกจากนี้ การบริโภคอย่างต่อเนื่องในปริมาณ 1,100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักต่อวัน พบว่าไม่มีผลต่อสุขภาพและอวัยวะต่าง ๆ ของหนูที่ทดสอบแต่อย่างใด ดังนั้น ถั่งเช่าไหมไทย จึงเหมาะสมที่จะต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารป้อนสู่ตลาด คนรักสุขภาพ

ส่วนการที่จะดูว่าถั่งเช่านั้นๆ เป็นถั่งเช่าแท้หรือปลอม ดูได้จากค่าวิเคราะห์คอร์ไดซิปินกับอะดีโนซินเป็นหลัก ซึ่งแหล่งซื้อขาย ถั่งเช่า ในเมืองไทยขณะนี้ส่วนใหญ่ขาย ถั่งเช่าสีทอง และ ถั่งเช่าหิมะ บ้างบางแห่ง โดยจำหน่ายเป็นแคปซูล และชาถั่งเช่า ทั้งนี้ ในประเทศไทยมีฟาร์มเพาะเลี้ยง ถั่งเช่าสีทอง อยู่หลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นการเพาะเลี้ยงบนอาหารอื่นที่ไม่ใช่หนอนไหม หรือดักแด้ไหม เช่น เลี้ยงบนข้าวกล้อง หรือข้าวสาลี หรือข้าวบาร์เล่ย์ ซึ่งถั่งเช่าที่ผลิตจากดักแด้ไหมนั้นจะมีราคาสูงกว่าถั่งเช่าที่ผลิตจากอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดอื่น

กรมหม่อนไหม ยังคงพัฒนาการผลิต ถังเช่าไหมไทย โดยคำนึงถึงกระบวนการผลิตที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และความปลอดภัยด้านสุขภาพเป็นสำคัญ ควบคู่ไปกับการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เกษตรกรรายย่อย เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งอาชีพทางเลือกที่สามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับครอบครัวและชุมชน ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์แปรรูปหม่อนไหมที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังสอดคล้องกับนโยบายตลาดนำการผลิตอีกด้วย.

ผู้สนใจ สอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักวิจัยและพัฒนาหม่อนไหม โทรศัพท์ 0 2558 7924-6 ต่อ 404 หรือ ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ 053-114-096 ถึง 7