มิก รชยา​ ร่ำไห้​ หลังถูกส่งตัวกลับไทย​ เพราะเรื่องเพศ

มิก รชยา​ รองมิสทิฟฟานี่​ 2014​ ร่ำไห้​ หลังถูกส่งตัวกลับไทย​ เพราะเรื่ิองเพศ​ หมดโอกาสแสดงโชว์ในงาน​ expo ที่ดูไบ

กลายเป็นเรื่องราวดราม่า​ เมื่อ​ มิก​ รชยา​ นพการุณ รองอันดับ​ 1​ มิสทิฟฟานี่​ ปี​ 2014​ ออกมาเล่าประสบการณ์สุดช้ำ​ หลังเดินทางไปแสดงที่งาน​ expo​ ในดูไบ​ แต่ถูกส่งตัวกลับประเทศไทย​ เพราะเพศสภาพไม่ตรงกับคำนำหน้าชื่อ

เธอเล่าว่า​ เธอมีความตั้งใจมากที่จะไปแสดงที่ดูไบ​ มีการเตรียมเอกสารทุกอย่างครบหมด​ เธอไปกับทีมทั้งหมด​ 14​ คน​ พอไปถึง ประมาณบ่าย​ 2​ โมง​ ปรากฏ​ว่า​ เธอไม่ผ่านกองตรวจคนเข้าเมือง

“เขาให้เราไปที่ห้องห้องหนึ่ง แล้วขอพาสปอร์ตไป​ แล้วถามว่าทำไมถึงเป็นผู้ชาย….? (เราไม่แต่งหน้ารวบผมเรียบร้อยแต่งตัวสุภาพ ตามพาสปอร์ต​ ตามวีซ่า​ 100%) เรานั่งรอประมาณ​ 2​ ชม.​ แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักมีพนักงานผู้ชายเดินมาเรียกเราขึ้นไปออฟฟิต (เขาสุภาพพูดจาดี เราชวนเขาคุย เพื่อคลายกังวล) เรานั่งรอที่ออฟฟิตสักพัก เพราะเป็นเวลาที่เขาละหมาดกัน เราก็คิดว่าแค่แปปเดียว ก็ละหมาดแปปเดียวจริงๆแหละ แต่พนักงานห้องสัมภาษณ์ไม่มาสักที จนพนักงานส่วนอื่นๆ มาเดินมองเรา​ และมองเข้าห้องสัมภาษณ์ประมานว่า พนักงานสัมภาษณ์ไปไหนว่ะ!! ไม่มาสัมภาษณ์สักที (ที่รู้เพราะพี่เขาถอนหายใจ​ และสีหน้าพี่เขาชัดเจนมาก) สักพักพี่พนักงานที่ถอนหายใจเป็นผู้ชายเอเชีย เดินมาถามเราว่า พนักงานข้างล่างให้คุณถอดเสื้อผ้าไหม เขาบอกว่าเขาไม่เห็นด้วย ถ้าพวกนั้นให้เราถอด เขาบอกเขาเข้าใจเรามาก เขารู้ว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร จังหวะนี้คือน้ำตาเราไหลออกมาเลย เพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แล้วขอบคุณที่ในบรรยากาศแย่ๆ​ เช่นนี้ยังมีคนเข้าใจเรา เขาบอกเราว่า อยู่กับเขาตรงนี้แหละดีแล้ว และถามว่าเอาทิชชูไหม คงเห็นเราร้องไห้ และเอาแก้วน้ำมาให้ “

เธอเล่าต่อว่า ​”เรารอจนถึง 18:30 (ผ่านไป​ 4​ ชม.) เราได้เข้าห้องสัมภาษณ์ พี่คนหนึ่งใจดี พี่คนหนึ่งเหมือนใจร้าย (พนักงานเป็นผู้ชายหมดไม่มีผู้หญิงสักคน) เขาพูดเสียงดังมาก แต่เราไม่กลัวหรอก เราตอบตามจริง เราเปิดคลิปซ้อมงานให้ดู เราเปิดผลงานที่ไทยให้ดูว่าเรามีตัวตนนะ แต่เขาไม่ค่อยสนใจ​ และสนใจเรื่องเพศมากกว่า เขาถามว่าทำหมดหรือยัง เราตอบหมดแล้ว เขาถามว่านมเราใหญ่หรือเล็ก เราก็ตอบเท่าที่จะตอบได้ เราตอบด้วยความไม่กลัวอะไรเลย เพราะเรามาทำสิ่งที่เรารักจริงๆ เราเห็นภาพตัวเองอยู่บนเวทีงาน​ expo  แล้ว มาลุ้นกันว่า เราจะได้เข้าประเทศเขาได้ไหม…??????

19:00 เขาเรียกเราเข้าไปสัมภาษณ์อีก​ 1​ รอบ แล้วถามว่า ทำไมถึงตัด (เอ้า!!) ก็ตอบไป เราเชื่อว่าเราเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เกิด บลาๆ สักพักน้ำตามาอีก เหมือนพนักงานคนใจดีเข้าใจเรานะ แล้วก็ถามว่ามีลูกได้ไหม เขาคงไม่รู้จริงๆแหละ พี่คนเสียงดังเขาพูดอะไรสักอย่าง แล้ว…

” แล้วเขาบอกว่า คุณไปรอห้องผู้ชายก่อน เพราะคุณเป็นผู้ชาย เราแม่งน้ำตาตกในมาก แต่ยิ้มสู้ นางบอกว่าคุณเข้าใจทางเราด้วยนะ ที่นี่มุสลิมคุณต้องไปอยู่ห้องผู้ชายก่อน ระหว่างเดินเข้าห้องพักผู้ชายเราเดินไปถามย้ำพี่พนักงานเอเชียผู้ชายคนนั้นอีก1ครั้ง เพื่อความแน่ใจ ว่าเราต้องอยู่ห้องนี้จริงๆใช่ไหม เขาตอบว่าใช่ ด้วยสีหน้าเห็นใจ​ พอเดินเข้า ก็มีนักท่องเที่ยวที่โดนกักตัวเดินมาจับแขนเราแล้วบอกว่า ห้องผู้หญิงไปทางขาว เราต้องตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอว่า เขาบอกว่า ยังเราเป็นผู้ชายอยู่ (เศร้านะ)​ “

” 19:22 พี่พนักงานเอเชียคนเดิมเดินเข้ามากระซิบเราว่าโอเคไหมอยุ่ในห้องนี้ เราบอกตามตรงเราไม่โอเค น้ำตามาอีก​ 1 เขาพาเราออกมาหาที่นั่งหน้าห้อง แล้วหาเก้าอี้มาให้ เราขอบคุณพี่เขามากจริงๆ เขาบอกเรียกเขาได้ตลอด “

23:30 (ผ่านไป9ชม.) สรุปเราเข้าไม่ได้​ เขาบอกเราว่า จะส่งกลับไทย (เข้าใจอารมณ์หูดับ ใจหล่นไหมค่ะ ใช่เลย) เหตุผลเพราะเราเป็นผู้หญิง แต่พาสปอร์ตเป็นผู้ชาย เขาบอกให้เข้าได้นะ แต่กลับไปแก้พาสปอร์ตให้เป็น Miss กับ Female ก่อน (อย่างไรดีค่ะพี่ยุทธ์? หนูต้องทำอย่างไร) เราร้องไห้แทบตลอดเวลา นั่งคนเดียว ไม่มีเพื่อน ท่ามกลางพนักงานผู้ชายทั้งหมด  เราได้ตั๋วกลับไทย 03:00​ ของอีกวัน (ไม่ใช่ตี​ 3​ ที่จะถึงนะ ตี​ 3​ ของอีกวัน) ระหว่างนั้นเขาพาเราไปตรวจ RT PCR และเขาให้ตั๋วทานข้าวเรามา เราสามารถเดินไปเลือกทานเลย (ก็เดินร้องไห้ให้คนงงไปเลยค่ะ ร้องเลยไม่อาย ไม่มีใครรู้จัก)

พอเราทานอาหารเสร็จ เขาเดินมาบอกว่าเขาเลื่อนตั๋วให้บิน​ 10:00​ นะ เราดีใจมากได้กลับไปหาแม่เร็วขึ้น แต่ความยากที่ตามมาคือ เราต้องรีบหาโรงแรมกักตัว ซึ่งกระชั้นชิดมาก (เพราะโดนส่งกลับกระทันหัน) แต่ในใจตอนนั้นคือ ฉันขอเหยียบแผ่นดินไทยก่อน กักที่ไหนก็ได้ ที่มีผีจะสกปรกอย่างไรก็จะทน และมีพนักงานชายคนหนึ่งเป็นคนอินเดีย เขาเทคแคร์ฟิวเรามาก เดินมาหาเป็นพักๆ พร้อมพูดว่า can’t cry เขาพยายามช่วย วิ่งเต้นเรื่องผลตรวจ​ pcr และระหว่างนั้นเราต้องรีบจองโรงแรมเพื่อกักตัว ต้องมีเอกสารจองกักตัว ตั๋วบินถึงออกได้

เวลาผ่านไปช้ามาก นั่งที่เดิม หลับ​ 10​ นาทีตื่นมาร้องไห้ครึ่งชั่วโมง​ หลับได้อีก​ 15​ นาที ตื่นมาดูนาฬิกา วนลูปอยู่แบบนี้ จนได้ยินเสียง Rachaya come (เขาเรียกเราแล้ว)

09:00 ( ผ่านไป19ชม.) ได้เวลาขึ้นเครื่อง เขาให้เราเดินตามเขา ไปยังเครื่องบิน โดยไม่ให้เราจับพาสปอร์ต​ และส่งไม้ต่อให้แอร์บนเครื่องพาเราไปนั่ง แต่ก็ยังไม่ได้จับพาสปอร์ตอยู่ดี พี่แอร์บอกว่า เราจะเก็บพาสปอร์ตไว้​ และถึงไทยจะมีน้องมาดูแลอีกที อุ่นใจขึ้นมาหน่อย หลับเต็มอิ่ม ข้าวบนเครื่องไม่ได้อร่อยมาก แต่กินเกือบหมดเพราะร่างกายขาดอาหารมานาน

19:15 ล้อแตะพื้นแผ่นดินไทย พร้อมน้ำตา หลังเครื่องจอดมีพี่แอร์กราวผู้หญิงมาดูแลต่อ เป็นคนไทยคนแรกที่เราร้องไห้ด้วย ระบายทุกอย่าง พี่เขาเทคแคร์เราดีมาก พาไปทำเอกสาร test&go พาเดินไปห้องตำรวจ ห้องลึกลับเหมือนในหนัง (คนโดนส่งกลับต้องไปห้องพิเศษ เผื่ออธิบายเหตุผลที่โดนส่งกลับ) หลังจากนั้น เราก็ไปที่ประตูทางออก และขึ้นรถโรงแรมที่พี่ทางการกีฬาแห่งประเทศไทยจัดหาให้เพื่อไปกักตัว ระหว่างทางต้องแวะตรวจ pcr เราเจอแมวจร  1​ ตัว เราก็แวะร้องไห้กับแมว แล้วขอพลังจากน้อง (คิดถึงแมวที่บ้านมาก) ถึงโรงแรมกักตัว อาบน้ำ นอน ตื่น กลับบ้าน ปิดเครื่อง กราบเท้าแม่ ปลูกต้นไม้ เล่นกับแมว อยู่กับตัวเองเป็นอาทิตย์ แต่เมื่อวานเห็นเครื่องบินยังนั่งร้องไห้อยู่เลย คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส และขอโทษพี่กำปั้น พี่หลง พี่นะ ที่ต้องนั่งรอ ทำให้เสียเวลา และกังวลใจ

เรื่องนี้เราไม่โทษพนักงานดูไบเลย (แต่โกรธ) เราโทษ กฏหมายไทย ถ้าเขาก้มลงมามองเรื่องที่เรา​ และหลายๆ​ คนต้องเจอปัญหาแบบเรา หวังว่าเขาจะมองว่า มันเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขสักทีนะ ยิ้มให้คนทั้งโลกร้องไห้กับตัวเอง

คลิปอีจันแนะนำ
คิมเบอร์ลี่ ตอบแล้ว คนเชียร์เป็นคู่แรกจะมีข่าวดี