เปิดใจ​ อี๊ฟ พุทธธิดา -​ เปี๊ยก อรัญญา หลังสูญเสีย​ ต้อย​ เศรษฐา

เปิดใจ​ อี๊ฟ พุทธธิดา -​ เปี๊ยก อรัญญา หลังสูญเสีย​บุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัว ต้อย​ เศรษฐา

อีกหนึ่งความสูญเสียครั้งสำคัญของ  วงการบันเทิง​ ไทย​ กับการจากไปของ​ ต้อย​ เศรฐษา​ ที่ผ่านมา​ ด้าน​ อี๊ฟ พุทธธิดา ลูกสาว ก็ได้ควงคุณแม่ เปี๊ยก อรัญญา มาเปิดใจครั้งแรกหลังสูญเสีย อาต้อย ไปอย่างไม่มีวันกลับ พร้อมเล่าช่วงเวลาสุดทรมานในการดูแล อาต้อย และเปิดเผยอาการป่วยของคุณแม่ อาเปี๊ยก ที่ถึงขั้นเดินไม่ได้ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บโชว์กหนึ่งความสูญเสียครั้งสำคัญของ  วงการบันเทิง​ ไทย​ กับการจากไปของ​ ต้อย​ เศรฐษา​ ที่ผ่านมา​ ด้าน​ อี๊ฟ พุทธธิดา ลูกสาว ก็ได้ควงคุณแม่ เปี๊ยก อรัญญา มาเปิดใจครั้งแรกหลังสูญเสีย อาต้อย ไปอย่างไม่มีวันกลับ พร้อมเล่าช่วงเวลาสุดทรมานในการดูแล อาต้อย และเปิดเผยอาการป่วยของคุณแม่ อาเปี๊ยก ที่ถึงขั้นเดินไม่ได้ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บโชว์

ตอนนี้แม่เป็นอย่างไรบ้าง?

แม่เปี๊ยก : ตอนนี้ในสภาวะของตัวเองก็ไม่ค่อยดี มันมีโรคมาแทรกคือ โรคปวดหัวเข่า เนื่องจากน้ำในเข่ามันหมด

อันนั้นคือโรคภายนอก แต่ความรู้สึกในใจตอนนี้เริ่มโอเคหรือยัง?

แม่เปี๊ยก : เริ่มโอเคแล้วค่ะ เพราะว่าเรามีแรงบันดาลใจจากผู้ที่รักคุณต้อยมาก แล้วก็ผู้ที่ช่วยเหลือทั้งหลาย ทำให้เราดีขึ้นเยอะ

คุณแม่มีความรู้สึกแว๊บคิดถึงคุณพ่อบ้างไหม?

แม่เปี๊ยก : ไม่ต้องแว๊บ มันคิดถึงอยู่ทุกวัน แต่เราต้องรับความเป็นจริง เราเข้าใจนะ เพราะมาป่านนี้แล้ว เราเข้าใจว่าเกิดแก่ เจ็บตาย มันเป็นอย่างไร

น้องอี๊ฟ ณ วันนี้เริ่มโอเคหรือยัง?

อี๊ฟ : มันก็โอเค แต่ว่ามันไม่เหมือนเดิม ชีวิตเราเปลี่ยนไป ถึงเราจะอยู่ในบ้านหลังเดิม ทำอะไรเหมือนเดิม มันก็ไม่เหมือนเดิม

อี๊ฟให้กำลังใจคุณแม่อย่างไร?

อี๊ฟ : แค่ดูแลกันเฉยๆ เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลาอยู่แล้ว ของคุณแม่เขามีภาวะเรื่องอื่น เราก็ไปดูแลในเรื่องสุขภาพมากกว่า

แม่เปี๊ยก : เราก็ให้กำลังใจเขาโดยที่ทำตัวเราให้แข็งแรง ไม่ให้เขาเป็นกังวลเยอะ เขาก็หนักอยู่แล้ว

อาเปี๊ยกเปิดคอนเสิร์ต อาต้อย ดูตลอดเลย?

แม่เปี๊ยก : ใช่ๆ จากที่ไม่เคยได้ดูมาก่อน เราไม่ค่อยมีเวลามานั่งดูกันจริงๆ จังๆ เพราะว่าแต่ละคอนเสิร์ตมันยาวมาก 3-4 ชั่วโมง แต่พอคุณพ่อเสียก็ดูตั้งแต่สวดเสร็จ กลับมาบ้านก็นั่งดูไป ทานข้าวไป ทานข้าวกับคุณพ่อด้วย เพราะว่าอยู่บ้านเรายังจัดสำรับเหมือนเขาอยู่

เห็นว่าทำทุกอย่างเหมือนตอนที่ อาต้อย ยังอยู่?

แม่เปี๊ยก : อะไรที่ทำได้ เราจะทำเหมือนเดิม

อี๊ฟ : มีเพิ่มเติม ตอนนี้อี๊ฟ ต้น และมีบุญ ย้ายมานอนเป็นเพื่อนแม่ในห้องเดียวกัน

ที่บอกว่าทำเหมือนเดิมคือเราจัดอาหารไว้ให้พ่อด้วย?

อี๊ฟ : ใช่ค่ะ เหมือนเราตั้งโต๊ะ ก็จะมีสำรับ ที่นั่งพ่อที่เขานั่งประจำ ก็จะมีจาน ช้อน ซ้อม ตักอาหารให้ จุดธูปบอกกินข้าวด้วยกันทุกมื้อ แม้จะไปกินข้างนอกเราก็จะบอกว่าพ่อขึ้นรถนะ เดี๋ยวไปกินข้าวที่ร้านนี้กัน แล้วเราก็ตั้งโต๊ะ เราก็ทำแบบนี้

ในระหว่างที่เราทำ เรายังมีความรู้สึกว่าคุณพ่ออยู่รอบข้างเราไหม?

อี๊ฟ : คือเราทำ เพราะเรารู้สึกนั่นแหละ ก็ตามที่เขาบอกกันมาว่า ใน 100 วันนี้พ่อก็ยังอยู่กับเรา เราก็อยากทำทุกอย่างให้เหมือนเขาอยู่กับเราตลอด

แม่เปี๊ยก : ทำแล้วมันช่วยให้เรารู้สึกดี

คุณแม่มีสัมผัสได้ไหมว่าคุณพ่ออยู่ใกล้ หรือว่ามีสิ่งที่เราจัดวางแล้วคุณพ่อรับรู้?

แม่เปี๊ยก : เราพยายามนึกให้เป็นอย่างนั้น เราคงสัมผัสเองไม่ได้ เพราะเราไม่เคยทำสมาธิถึงขนาดนั้น แต่เราบอกกับตัวเองมากกว่าที่เราทำ เพื่อให้เรารู้สึกดี

ตอนที่พ่อพบว่าเป็น มะเร็งปอด เมื่อ 3 ปีที่แล้ว รักษาอย่างไร?

อี๊ฟ : คุณพ่อรักษาทั้งแผนปัจจุบัน และทางเลือก ที่ผ่านมามันดีมาโดยตลอด อี๊ฟเข้าใจว่าตอนที่เริ่มต้น ร่างกายมันยังดีอยู่มาก จริงๆ พ่อเป็นคนใส่ใจเรื่องสุขภาพ เขาตรวจทุกปี อะไรนิดหน่อยเขาก็หาหมอ

ตอนที่เจอเกิดจากตรวจสุขภาพไหม?

อี๊ฟ : ไม่ค่ะ คือพ่อไอเป็นเลือด เขารู้ว่ามันผิดปกติ เขาก็ไปหาหมอ ตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็นตรงนี้ พอตรวจลึกๆ สุดท้ายเป็นตรงนี้ เขาก็ช็อกอยู่พอสมควร

ตอนแรกที่เจอระยะอะไร?

อี๊ฟ : 4 คะ

หลังจากนั้นก็เป็นโควิดอีก?

อี๊ฟ : ใช่ค่ะ แต่ห่างกันประมาณ 2 ปี เพราะพ่อเพิ่งมาเป็นโควิดเมื่อปีที่แล้วเอง

ผลจากการเป็นโควิดมันส่งผลอะไรกับ อาต้อย บ้าง?

อี๊ฟ : ถ้าดูตามโรค จริงๆ ไม่ส่งผลเลย เพราะว่าโควิดมันลงไปคนละที่กับตำแหน่งที่มีอยู่ แล้วหลังจากที่พ่อหายจากโควิดสนิท ไม่มีปัญหาตรงนั้นอีกแล้ว ตัว มะเร็ง ที่อยู่ในปอดก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ปัญหาก็คือ เนื่องจากระยะ 4 มันคือระยะลุกลาม พอร่างกายมันอ่อนแอ มันก็ไปงอกที่อื่น คือจุดอื่นต่างหากที่มันโตขึ้น จุดที่ปอดมันไม่ขยายก็จริง แต่มันมีตำแหน่งตรงต่อมหมวกไตก็เลยต้องกลับมาให้ยาใหม่

เห็นว่ามีช่วงที่ดูแลคุณพ่อ มีช่วง 10 วันที่ทรมานใจอี๊ฟมากเลย?

อี๊ฟ : ใช่ค่ะ พอหลังจากที่คุณพ่อกลับมาให้คีโมรอบ 2 คุณพ่อมีผลจากยามาก ถ้าตามอินสตาแกรมเขาก็จะเห็น ก็มีคนมาถามอี๊ฟทำไมลงรูปพ่อทรุดลงๆ เราได้แต่บอกว่า เขาทรุดลงแล้วเขาจะดีขี้น ในช่วงให้ยาครั้งแรกคุณพ่อก็ทรุดเหมือนกัน แต่เขาก็ดีขึ้น เราอยากเก็บช่วงเวลาไว้ แบบตอนนี้พ่อแย่กว่านี่นะ แต่พ่อค่อยๆ ดีขึ้นนะ เราอยากให้เขาเห็นตรงนั้น แต่ในช่วงที่ 2 มันไม่ดีขึ้นเหมือนครั้งแรก

แม่เปี๊ยก : ยามันแรง

อี๊ฟ : ช่วงหลังโควิดมาแล้ว คุณแม่จะมีปัญหาในเรื่องของการทานยา ตัวยาสมุนไพร คุณพ่อค่อนข้างขี้เกียจทาน เขารู้สึกว่ายามันเยอะมาก แต่อี๊ฟก็เข้าใจเขาว่ายามันเยอะ บางที่เขาก็ข้ามไปบ้าง ดื้อบ้าง แบบไม่กินได้ไหม แล้วช่วงหลังมาเนี่ย เป็นคีโมรอบ 2 มันไม่ได้เริ่มจากต้นทุนเดิมที่มันต่ออยู่มาแล้ว พ่อก็มีความทานไม่ได้ แพ้คีโมมาก อาเจียนด้วย ก็เลยเกเร เรื่องสมุนไพรไม่ยอมทาน​ ช่วง 10 วันคือช่วงปีใหม่ที่อี๊ฟอยู่ยาว เป็นวันหยุดให้เลขา ผู้ช่วยเขาพัก ช่วงนั้นโควิดมันก็หนัก เราก็ต้องตรวจ pcr ด้วย เพื่อจะเฝ้า ช่วงนั้นอี๊ฟอยู่กับพ่อ 2 อาทิตย์ไม่มีใคร เข้าออกได้จะอยู่กับพ่อ 2 คน ช่วงนั้นพ่อมีสภาวะสะดุดเยอะ หมอก็จ่ายยาให้ตัวหนึ่ง มีทั้งยาแก้ปวด ระงับประสาทค่อนข้างมาก เขาก็เลยเกิดผลข้างเคียง ซึ่งผลข้างเคียงไม่ได้เกิดกับทุกคน คือคุณพ่อทานไม่ได้ ต้นทุนมันไม่ค่อยดีแล้ว เอฟเฟ็คจากยามันค่อนข้างเยอะ กลายเป็นว่าพ่อไม่เป็นตัวของตัวเอง จำไม่ได้ ตอนแรกอี๊ฟคิดว่าพ่อเป็นอัลไซเมอร์ มันแย่กว่าตอนที่รู้ว่าพ่อเป็น มะเร็ง ด้วยซ้ำ เพราะเรารู้ว่าถ้าเป็นลักษณะอัลไซเมอร์มันยากที่จะเอาเขาคืนมา ไหนจะเรื่องดูแลการทานยาอีก เช้าวันนั้นเขาแย่มาก มันไม่เป็นตัวเขาแล้ว ไม่ว่าสภาวะทางร่างกายหรือทางความจำ เราต้องอุ้มคนเดียว ต้องยก ทำทุกอย่างเลย ถามเขาว่าจำเราได้ไหม รู้ไหมนี่ใคร เขาไม่ตอบด้วยซ้ำ เขาแค่ส่ายหัว เขาเป็นแบบนี้ 2 วันเต็มๆ หายวันที่ 3 คือตอนที่เจอสภาวะนั้นอี๊ฟแย่แล้วหมอมาพูดกับอี๊ฟว่าใจเย็นๆ นะ มันอาจจะเป็นเอฟเฟ็คจากยา ใจเราตอนนั้นยังไม่คิดเนอะยามันจะทำให้เป็นอย่างนั้นได้ แต่พอหมอเขาลดยา มันหาย

ตอนที่พ่อเป็นมากๆ เราแอบคิดไหวว่านี่จะเป็นโมเมนต์ที่เราต้องเสียพ่อไป?

อี๊ฟ : ใช่ค่ะ มันเหมือนในหนังเลย จำภาพนั้นได้เลย มันเป็นช่วงกลางวันที่ถามว่าเขาจำอี๊ฟได้ไหม แล้วเขาตอบไม่ได้อี๊ฟเห็นเงาตัวเองสะท้อนกำแพงขาวๆ แดดมันส่องมาที่หน้าต่าง พ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ อี๊ฟนั่งอยู่ที่พื้น อี๊ฟกอดเขาแล้วเห็นเงาตัวเอง แล้วร้องไห้อยู่ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไร แว๊บนั้นอี๊ฟรู้สึกว่าตัวเองแย่ที่สุดแล้ว แต่พอถอนยาออกบางตัว แล้วเขาจำได้ มันเหมือนโลกมันกลับมาใหม่ ก็คิดว่าโอเค เป็นเพราะยาจริงด้วย คงไม่เป็นไรแล้วแหละ พอพ่อพูดรู้เรื่อง อี๊ฟมาเข้าใจว่าเขาเนี่ยมีความทุกข์ เขาไม่ได้กินอะไรที่เขาอยากกิน เขาต้องกินแต่ของที่เขาคิดว่ามีประโยชน์คิดว่าดี แต่เขาไม่อยากกิน เขาไม่มีความสุขเลย เขาต้องกินยาเยอะ ต้องอยู่ในสภาวะที่เขาไม่มีความสุข แล้วเขาเลยสงสัยว่าเราเนี่ยอยากให้เขาหายจริงๆ เหรอ แต่เหมือนเขารู้สึกทรมาน อี๊ฟเลยบอกว่าพ่ออยากกิน พ่ออยากทำอะไรพ่อต้องบอก ทุกคนอยากให้พ่อหาย แต่พ่อต้องบอกตรงๆ ไม่ใช่ว่าฝืนทำแล้วไม่มีความสุข แล้วก็มารู้สึกว่าเป็นทุกข์  เราก็เลยบอกโอเคถ้าเราเข้าใจกันได้ เขาก็จะสู้อีกตั้งนะ เขาจะหาย เขาจะพยายาม ก็เลยเริ่มต้นกันใหม่ ช่วงต้นปี พ่อพูดคุยได้ปกติ แต่ว่าพ่ออ่อนแรงมาก ผอม ทานไม่ได้ แล้วไม่ค่อยยอมให้อาหารทางสายยาง ในแง่ของคนดูแลเราก็พยายามบาลานซ์ในความสุขของเขากับสิ่งที่เราจะต้องให้ เขาก็ดีขึ้นมาตลอด ช่วงที่ผ่านมาทั้งหมดเขากลับมาอยู่บ้านแล้ว​

อะไรที่ทำให้ต้องกลับไปโรงพยาบาลอีก?

อี๊ฟ : จริงๆ แล้วเป็นเรื่องของการเช็กอัพ หมอจะนัดทุกๆ 2-3 อาทิตย์ ให้กลับไปมอนิเตอร์ดู มีอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นคือเขาจำไม่ค่อยได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ พอคนป่วยนานๆ มันก็มีสภาวะนี้คือสับสนว่าตกลงเราอยู่บ้านหรืออยู่โรงพยาบาล อี๊ฟก็จะบอกว่าพ่ออยู่บ้านนะ แต่พอเห็นเขาสับสนมากๆ อี๊ฟก็เข็นเขาไปเดินหน้าบ้าน ให้เขารู้ว่าเนี่ยเขาอยู่บ้าน บ้านที่เขาสร้าง บ้านที่เขาหามา พ่อจำได้ไหม เขาก็ยิ้มนะ เขานั่งมองดูบ้าน แต่ว่ารอบที่ไปสุดท้ายเนี่ย เพราะว่าอาทิตย์นั้น พ่อไม่ทาน ถึงเวลานัดที่คุณหมอไปเช็กอัพปกติ ก็เลยคุยกันว่าหมอจะจองเตียงไว้ให้ถ้าเราอยากให้คุณพ่อแอทมิด แต่พ่อไม่มีภาวะอื่นนะครับ ก็เลยบอกว่างั้นให้พ่อนอนสัก 2 คืนดีไหม เพื่อให้อาหารทางสายยาง เพื่อเติมน้ำเกลือหน่อย เขาจะได้ดูมีเรี่ยวมีแรงหน่อย เพราะเขาดูไม่มีแรงเลย ก็เลยไปเติมสัก 2 วันแล้วจะได้พาพ่อกลับบ้าน

ตอนนั้นพ่อเขายอมไปด้วยดี?

อี๊ฟ : ไปค่ะ

แม่เปี๊ยก : คุณพ่อเขาเข้าใจ เวลาเขาไม่สบายตัว เขาอยากไปนะโรงพยาบาล เขาจะสั่งเองด้วยซ้ำ เราทำตามสิ่งที่เขาอยากทำทุกอย่าง อยากกลับบ้าน เราก็บอกคุณหมอ กลับก็กลับ

แต่การไปเช็กอัพครั้งสุดท้ายคือเขาต้องจากไป น้องอี๊ฟกับอาเปี๊ยกก็ไม่ได้อยู่?

อี๊ฟ : ช่วงที่ผ่านมาในการดูแลพ่อมันหนักมากนะคะ เพราะว่าการนอนเขาก็ไม่เหมือนคนทั่วไป กลางวันเขานอนได้มากกว่ากลางคืน ซึ่งเราคนปกติ ทำงานด้วย แล้วเราเฝ้ากันเองก็จะไม่ได้นอน นอนน้อย คุณแม่เองเขาก็เริ่มแย่ พอพ่อทานไม่ได้ เขาก็ไม่อยากทาน เราพยายามทำให้เขามีความสุข แต่ตัวเราเองมันมีเวลาพักผ่อนน้อยจริงๆ อี๊ฟก็คุยกันบวกกับพี่ต้นต้องไปคุยเรื่องงานพอดี งั้นอย่างนี้ไหม พอพ่อเข้าโรงพยาบาลเที่ยวนี้อี๊ฟจะไม่ไปเฝ้า เพราะแค่ 2 วัน ก็เลยบอกกับเลขาว่าขอให้เลขาเข้าไปเฝ้า เดี๋ยวอี๊ฟจะพาแม่ไปพักผ่อน เดี๋ยวกลับมาจะไปรับ แต่พอเข้าไปจริงๆ มันก็มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น

ใน 2 วันนั้นอี๊ฟมีสัญญาณอะไรไหม แบบไม่สบายใจ?

อี๊ฟ : ทุกครั้งที่เราต้องไกลหู ไกลตา มันไม่สบายใจหรอก แต่เราก็ต้องคิดในทุกๆ อย่าง หมายถึงว่า เราก็ต้องคิดถึงแม่ด้วย เราต้องทำงานด้วย เราไม่ได้ทำได้แค่อย่างใด อย่างหนึ่ง เราต้องทำทุกอย่างในเวลานั้นๆ ซึ่งเลขาไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเฝ้า อี๊ฟต้องบอกว่าปีแรกทั้งปีที่พ่อป่วย อี๊ฟแทบไม่ได้ดูแลพ่อเลย เพราะว่าเลี้ยงลูก ลูกกินนมแม่ 1 ปีเต็ม มันก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่พ่อเขาพยายามด้วยตัวเขาเอง ปีแรกที่เขาพยายามด้วยตัวเองได้ เราพยายามด้วยตัวเองเยอะมากเพราะเขารู้ว่าอี๊ฟเหนื่อยมากในการเลี้ยงลูก เขาก็พยายามที่จะช่วยเราด้วยการที่ดูแลตัวเอง แล้วตลอดช่วงนั้นก็มีแต่เลขาที่ช่วย เพราะอี๊ฟเป็นลูกคนเดียว เลขาก็เหมือนลูกสาวพ่ออีกคน ก็อยู่กันมาแบบนี้ เพราะฉะนั้นตอนที่เราคิดว่า ขอ 2 วันเนี่ยไม่ใช่ว่าเราเอาพ่อไปไว้กับคนที่พ่อไม่คุ้นเคย หรือคนที่พ่อไม่แฮปปี้ด้วย

เราไป 2 วัน?

แม่เปี๊ยก : ไปวันเดียวค่ะ แค่ว่าค้างแล้วเช้าอีกวันก็กลับ

อี๊ฟ : จริงๆ เราไปวันเดียว

ตอนที่ลูกสาวบอกว่าแม่ไปเกาะเสม็ดกันเถอะ ตอนนั้นแม่ว่าอย่างไร?

แม่เปี๊ยก : ปกติไม่ค่อยอยากไปไหนหรอก ยิ่งพ่อเป็นแบบนี้ แต่เราอยู่บ้าน เราก็ไม่ได้ทำอะไร ลูกก็บอกว่าไปเถอะแม่ไปพักสมองบ้าง เพราะว่าคุณพ่อก็ไปมาปกติ เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นวันสุดท้าย เราไม่เคยคิดตรงนี้ จะว่าเราประมาทก็ไม่ใช่นะ เพราะความรู้สึกเราแบบไปทานอาหารได้ หมอจะได้ช่วยได้ เพราะอยู่บ้านเราช่วยอะไรไม่ได้เลย พอตกถึงภาวะนี้เราก็ต้องไปหาหมอ แม้กระทั่งคุณพ่อเองเขาก็รู้ เขาบอกว่าเขาจะไปหาหมอ

อี๊ฟ : อะไรที่เราทำเองได้ที่บ้านเราก็ทำ แต่ถ้าเขาอยากไปหาหมอเราก็พาเขาไป เราอยากให้เขาสบายใจมากที่สุด ทีนี้ในช่วงวันนั้น ส่วนหนึ่งในใจเรา เราก็อยากทำทุกอย่างให้ปกติ เพราะเราเชื่อว่าเหตุการณ์มันจะเป็นปกติ ถ้าเราพารานอยด์ไปทุกอย่าง ชีวิตมันเดินต่อยาก

แต่สุดท้ายเราก็ได้รับโทรศัพท์ ครั้งแรกตอนตี 2 ?

อี๊ฟ : ใช่ค่ะ กลับมานั่งคิดดูก็ถ้าเรารู้เร็วกว่านี้หน่อย อย่างไรก็กลับทัน

แม่เปี๊ยก : คือทั้งวันไม่มีอะไรบอก

อี๊ฟ : พอเราถึงเสม็ด แม่ก็โทรคุยกับทางเลขา เป็นอย่างไร ทุกอย่างโอเคไหม พ่อก็ตรวจ PCR เพื่อจะแอทมิด ค้องรอผลอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน ก็ยังดูปกติดีไม่มีอะไร

ตี 2 เกิดอะไรขึ้น?

อี๊ฟ : เลขาเขาโทรมาอธิบายว่า พ่อความดันตกตั้งแต่ช่วงเย็น คือพ่อมีเสมหะเยอะ หมอก็ดูดออกมา พอดูดเสร็จแล้วมันน่าจะมีอาการเจ็บ ความดันก็ตก หมอให้ยากระตุ้นความดัน ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมาแป๊บหนึ่ง ตอนหัวค่ำ 2-3 ทุ่มดูไม่มีอะไรแล้ว ก็คิดว่าน่าจะไม่มีอะไร แต่พอสักเที่ยงคืนมันตกลงไปอีก แล้วพอต้องให้อันต่อมา เขาก็โทรมาปรึกษา หมออธิบายว่า ถ้าให้คราวนี้มันจะต้องประคองด้วยยาไปเลยนะ แต่มันจะมีเอฟเฟ็กต์บางอย่าง เราจะโอเคไหม อี๊ฟก็เลยบอกว่า ถ้าไม่ให้มันก็จะไม่กลับขึ้นมาใช่ไหม อี๊ฟก็เลยบอกว่าให้ไปก่อนเลยได้ไหม ใจก็คิดว่าเดี๋ยวอี๊ฟจะมาตัดสินใจหน้างานอีกที คือหมายถึงว่าให้ไปก่อน เพื่อให้พ่อโอเคก่อน เดี๋ยวอี๊ฟจะรีบกลับไปดูว่าจะต้องอย่างไรต่อ เขาก็เลยบอกว่าโอเค เดี๋ยวให้เข็มนี้แล้วต้องดูว่าพ่อจะดีขึ้นไหม หมอก็กระตุ้นด้วยเข็มนั้น อี๊ฟก็โทรคุยกับทางเรือว่าเดี๋ยวตี 5 อี๊ฟจะขอรีบกลับ ซึ่งมันยังดูไม่มีอะไร มันเป็นเรื่องของการให้ยากระตุ้น พอตี 4 เขาโทรมาร้องไห้แล้ว เขาบอกว่ามันไม่ขึ้น หมอพยายามมอนิเตอร์ดูไม่ขึ้น จริงๆ ก่อนหน้านี้มันจะมีครั้งหนึ่งที่เราเข้าโรงพยาบาลกัน รอบนั้นเพื่อไปแอทมิด คือรอบก่อนรอบนี้ พ่อมีอาการออกซิเจนต่ำทั้งวัน ต่ำยิ่งกว่าตอนเจอโควิดอีก ตอนที่เขาโทรมาแจ้งเรื่องความดัน อี๊ฟก็คิดว่ามันน่าจะเป็นประมาณนั้น เราไม่ได้คิดว่าเพราะความดันตกมันจะทำให้ดับไปเลย

ตอนตี 4 ใครโทรมา แล้วเขาพูดอย่างไร?

อี๊ฟ : เลขาและผู้ดูแลเขาอยู่ด้วยกัน เขาร้องไห้ แล้วพูดว่า ไม่น่าได้แล้วนะ น่าจะไม่เกินชั่วโมงนี้ เขาบอกว่าเขาอยากให้อี๊ฟวีดิโอคุยกับพ่อ พอวีดิโอคอลแล้วเห็นพ่อ พ่อใช้เครื่องออกซิเจน แต่ไม่ใช่เครื่องใหญ่ๆ นะคะ อี๊ฟพยายามมีสติที่สุดแล้วไปปลุกแม่ บอกว่าแม่ต้องคุยกับพ่อตอนนี้แล้วแหละ เพราะความดันเขาตกนะ เราต้องคุยกันตอนนี้ แม่ก็มานั่งด้วยอยู่ดีๆ ต้นก็ตื่นมาเอง มานั่งในห้องน้ำด้วยกัน 3 คน อี๊ฟบอกว่าพ่อได้ยินหนูไหม พยายามพูดกับเขา อี๊ฟอยู่ตรงนี้ แม่ ต้น ก็อยู่ตรงนี้ ช่วงนั้นเราพยายามไม่ร้องไห้ แล้วมีความคิดอยู่หน่อยหนึ่งว่าเราจะบอกเขาให้รอก่อน แต่เราไม่ได้บอกอี๊ฟเชื่อว่าถ้าบอกเขาก็รอ แต่ใจเรารู้สึกว่าเราไม่อยากเห็นแก่ตัวขนาดนั้น เพราะดูเขาไม่โอเคแล้ว

ตอนนั้นที่พูดไปท่านรับรู้ไหม?

อี๊ฟ : คิดว่ารู้ แต่ว่าเขาตอบไม่ได้แล้ว เราก็บอกเขาว่าเรารักพ่อนะ อี๊ฟบอกว่าพ่อไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว อี๊ฟพยายามพูดกับเขาว่าถ้าเขาเหนื่อย พ่อไม่ต้องคิดอะไรเลยนะ ทำใจให้ว่างๆ อี๊ฟก็บอกให้เลขาเปิดบทสวดชินบัญชรคู่ไปด้วย แล้วอี๊ฟก็บอกว่าฟังเสียงพระไว้นะคะ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ้าพ่อเหนื่อย พ่อก็แค่หลับ นอนพักไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว อี๊ฟกับแม่รักพ่อ เราทุกคนรักพ่อ ไม่มีอะไรที่พ่อต้องเป็นห่วงหรือกังวลอีกแล้ว แล้วเลขาเขาก็พูดขึ้นมาว่าอาไม่ต้องห่วงมีบุญนะ อย่างไรอี๊ฟก็ต้องเลี้ยงดีที่สุดอยู่แล้วไม่ต้องกังวลนะ เราพูดอยู่อย่างนี้สักพัก แล้วเราก็ค่อยๆ แผ่วลงแล้วเหมือนในหนังเลยเครื่องก็ดังตี้ด

แม่เห็นทุกอย่างเลย?

แม่เปี๊ยก : อยู่ตั้งแต่เขานั่งคุยกัน ดีแล้วที่เราวีดิโอคอลคุยกับเขา ความรู้สึกเรา เขารับรู้

เห็นช็อตสุดท้ายความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?

แม่เปี๊ยก : พูดลำบากนะ เพราะว่าหมอเคยคุยกับลูกมาแล้วลูกมาบอก เราก็มีความรู้สึกว่ามันจะถึงวันนั้นเลยเหรอ แล้วถ้าถึงวันนั้นแล้วเราจะอย่างไร แต่พอถึงเวลา โอเคเขาก็ต้องเลือกแล้ว คุณพ่อเขาสู้มาตลอด ทุกอย่างมันต้องไปตามขั้นตอน

สิ่งที่ติดค้างอยู่ แล้วอาต้อยเสียไปก่อน คือเรื่องอะไร?

อี๊ฟ : คุณพ่อเขาชอบทำบุญ เขามีโปรเจ็กต์ทำบุญเยอะ จริงๆ มีค้างอีกหลายอย่างเลย แต่เรื่องหนึ่งที่เราคุยกันไว้ก่อนท่านเสีย คือเรื่องของการทำเหรียญ คุณพ่อเป็นคนชอบสะสมพระ แล้วเราก็คุยกันว่าเราอยากทำพระหรือเหรียญสักรุ่นหนึ่งที่พ่อเป็นประธานสร้างเองจริงๆ เป็นชื่อรุ่นที่เป็นชื่อของพ่อ เราก็คุยกันว่าเราจะทำเหรียญด้านหนึ่งเป็นท้าวเวสสุวรรณอีกด้านเป็นท้าวหิรัญพนาสูร เพื่อขอเรื่องสุขภาพโดยตรง ทีนี้แบบเหรียญเพิ่งเสร็จหลังจากที่คุณพ่อเสียไปแล้ว

คลิปอีจันแนะนำ
นนน กรภัทร์ งานแสดงรุ่ง เตรียมเอาดีด้านงานเพลง