เมฆ วินัย เปิดใจ เคยคิดว่าตัวเองจะ ไม่รอด ถึงขั้นโทร สั่งเสียกับภรรยา

เมฆ วินัย ควงภรรยา เปิดใจ รับเคยคิดว่าตัวเองจะ ไม่รอด ถึงขั้นโทร สั่งเสียกับภรรยา รับสู้กับ โรคตุ่มน้ำพอง ด้วยความ ทรมาน

เรียกได้ว่าสู้รักษาอาการป่วยมานานกว่า 2 ปีแล้ว สำหรับนักแสดงรุ่นใหญ่ เมฆ วินัย ไกรบุตร กับ โรคตุ่มน้ำพอง ล่าสุดขอ ควงภรรยา เอ๋ อรชัญญาช์ ออกมาเปิดใจตลอดการดูแลกันมา รวมถึงวิธีรักษาต่างๆ ว่าจะต้องรักษาอย่างไร แว่วมาว่าสูญเงินค่ารักษาไปกว่า 4 ล้านบาทแล้ว ซึ่งทั้งคู่ได้มาร่วมพูดคุยในรายการ คุยแซ่บSHOW โดย เมฆ ได้อัปเดตอาการตอนนี้ว่า

“ ตอนนี้หน้ายุบลงหมดแล้ว พยายามลดยาสเตียรอยด์ นั่นหมายความว่ามันยังโผล่มาบ้างแต่ไม่ได้เป็นตุ่ม มันจะเป็นแค่นูนๆ เหมือนคนแพ้อาหาร ล่าสุดเราไปวัดภูมิที่โรงพยาบาลจุฬา จากที่แต่ก่อนเราขึ้นเกิน 3,000 ตอนนี้ต่ำกว่า 50 แล้ว ในช่วงที่เน่าทั้งตัวคือภูมิเราเพี้ยนไป 3,000 กว่า ซึ่งภูมิของคนปกติต้องไม่เกิน 50 ในครั้งแรกรักษาหายออกจากโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็กลับมาโรงพยาบาลเป็นครั้งที่สอง แล้วก็ดีขึ้น พอไปวิ่งก็เน่าอีกก็กลับไปรักษาอีก คือผมเข้าโรงพยาบาล 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 ไม่ได้เข้าก็รักษาที่บ้าน ตอนนี้เป็นตอนที่ 4 คือตอนนี้ท้องยุบแล้ว เริ่มออกกำลังกายได้นิดหน่อย เหลืออย่างเดียวคือลด สเตียรอยด์ ให้เร็วที่สุด แต่การลด สเตียรอยด์ มันจะลดทันทีไม่ได้ เพราะร่างกายจะช็อก ต้องค่อยๆ ลด “

พิธีกรถามต่อว่า เห็นสามีเป็นแบบนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง? เอ๋ ภรรยา เผยว่า

” มันก็ต้องอดทน และสร้างกำลังใจให้กันและกัน ถามว่าท้อไหม คือมีความโมโหมากกว่าเพราะพอจะดีปุ๊บเขาก็ดื้อ ครั้งแรกที่ออกจากโรงพยาบาลเราไม่รู้จักโรคนี้เลย ก็มีคนที่เคยเป็นแชทมาคุยและมาหาที่โรงพยาบาลหลังจากที่เป็นแล้ว เขาบอกว่าอาหารที่ไม่ควรกินคืออาหารแสลง พวกอาหารดิบหรืออาหารหมักดอง แซลมอนดิบ ปลาร้า แต่เราไม่รู้ คือพอออกมาเขาก็ออกไปทำงานที่พิษณุโลกแล้วไปเผลอกิน แซลมอน กินไม่กี่ชิ้น ก็พองเลย ครั้งแรกคือความประมาท ส่วนครั้งที่สองตอนนั้นมันดีขึ้นแล้ว และเราก็เข้าใจว่า ยิ่งออกกำลังกายมันน่าจะดีขึ้นแต่ปรากฎว่า มันมีงานวิ่งก็ไปร่วมวิ่งกับพี่ตูน ด้วยความที่เขาเข้าใจเองว่าตัวเองแข็งแรง ก็เลยไปสปีดวิ่งให้เร็วขึ้น มันทำให้ร่างกายมันเหนื่อย ร่างกายก็เลยดึงยาไปใช้ คือแทนที่ยาจะไปรักษาโรค ก็ไปซ่อมส่วนที่ออกกำลังกาย สุดท้ายมันก็ทำให้กลับมาเป็นอีก พอกลับไปหาคุณหมอ ทำให้ทราบว่ายาไม่พอ จริงๆ วิ่งได้แต่ต้องให้ร่างกายพร้อมก่อน โรคนี้ พี่เมฆ เป็นมา 2 ปีกว่าแล้ว หนักสุดคือรอบที่ 3 เนื่องจากว่าเป็นช่วงโควิด เขาเข้าโรงพยาบาลไม่ได้ คือด้วยความที่มันเริ่มดีขึ้นแล้วเราอยากใช้วิธีอื่นที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์ เราก็เลยแสดงว่าวิธีการรักษาแบบอื่น ”

ซึ่ง เมฆ วินัย ได้เล่าต่อว่า

” คือเราก็ไปฝังเข็มเขาเรียกว่าเปิดจุดลมปราณ พอไปทำกลับมาก็รู้สึกดีนะ เราก็มั่นใจและไม่เป็นอะไร คือตอนนั้นเราก็ทำควบคู่กันไปกับการรักษาของหมอที่จุฬา ยาเรายังทานอยู่ แต่ด้วยความที่มีการรักษาหลายอย่าง เราก็เลยไปลองอีกวิธีหนึ่งเป็นการรักษาแบบญี่ปุ่น เอาน้ำแข็งประคบ ใช้ผ้าพันทั้งหัว ทั้งตัว 3 ชั่วโมง และแช่น้ำแข็ง 15 นาที นอกจากนี้เราก็ไปทำแชมเบอร์ คือเข้าไปอุโมงค์ออกซิเจน เป็นแรงดันอากาศต่ำ เกือบ 30 ครั้ง “

ทั้งนี้ เอ๋ ภรรยา กล่าวเสริมว่า

” คือเป็นออกซิเจนแรงดันต่ำเอาเข้าสู่ร่างกาย โดยเข้าสู่ผิวหนังและลมหายใจ เพื่อไปบำบัด คือวิธีนี้เข้าสำหรับพวกที่เป็นเบาหวาน ที่เน่าทั้งขา มันจะทำให้น้ำเหลืองดีขึ้น คือมันมีเป็นงานวิจัยจากทั้งอเมริกาและจีนว่าไม่มีเอฟเฟคกับโรคอื่นๆ คือการรักษาวิธีนี้ถ้าไม่เสมอตัวก็จะดีไปเลย เราก็เลยลอง คือทุกวิธีดีหมด แต่มันก็มีทั้งดีและเสียอย่างแชมเบอร์มันทำให้ผิวดีขึ้น แข็งแรงขึ้น แต่มันทำให้ น้ำพอง ประทุกเราต้องเจาะ น้ำพอง ทุก 1 ชั่วโมง ซึ่งครั้งที่ 3 หนักสุดเพราะมันเป็นช่วง โควิด เราไม่กล้าเข้าโรงพยาบาล หนักแค่ไหนก็ต้องทน เราก็ใช้วิธีประคบน้ำแข็งเพื่อลดการอักเสบ ค่ารักษาแต่ละวิธีก็หลักแสนหมดค่ะ “

เมฆ วินัย กล่าวต่อว่า

” แต่ที่เรารวบรวมไว้ประมาณ 4 ล้าน ทั้งยาทา ยาทาน ทั้งวิธีรักษา ในระยะเวลา 2 ปีนิดๆ แต่ผมยังโชคดีที่มีผู้ใหญ่ช่วย ต้องขอบคุณมากๆ ตอนที่อยู่โรงพยาบาลผมก็โชคดีที่มีแฟนคลับมาช่วยหลายคน ที่นราธิวาส ปัตนี กระบี่ คือในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาผมทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเน่าทั้งตัว ไม่สามารถนอนดึกได้ ไม่สามารถมานั่งได้ เพราะมันคัน มันเจ็บ มันปวด ไม่มีอารมณ์คุยกับใคร กับลูกก็ไม่คุย กินยาที 6 เม็ดตามันพร่าเหมือนมีหมอกตลอดเวลา แล้วขี้โมโห คือสติเอาไม่อยู่ “

เห็นว่ามีช่วงหนึ่งเกือบคิดว่า ไม่รอด เกิดอะไรขึ้น ? เอ๋ เล่าต่อว่า

” น่าจะเป็นช่วงที่เขาอยู่โรงพยาบาลจุฬา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เป็นใหม่ๆ คือจากคนที่รูปร่างดี หน้าตาดี อยู่ๆ ก็เป็นน้ำพองทั้งตัว เขาเล่าให้ฟังว่าพอเขามองตัวเองในกระจกเขาก็คิดว่า มันคง ไม่รอด ละ เขาก็โทรกลับมาว่าจะขายที่ จะโน่น นี่ นั่น ซึ่งเราก็บอกเขาว่าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เอาสุขภาพก่อน เดี๋ยวค่ารักษาจัดการเอง คือพี่ไม่ทำงาน เอ๋ ก็ยังทำได้ คือเราไม่คิดว่าเขาจะ ไม่รอด นะ แต่เราคิดว่าเขาคงจะทรมานและมันต้องใช้เวลาในการรักษา”

ซึ่ง เมฆ ก็ยอมรับเช่นกันว่าตอนนั้นคิดว่าตนเองจะ ไม่รอด โทรไปเหมือน สั่งเสียกับภรรยา แต่ใจก็บอกตัวเองว่าจะต้องสู้ให้ถึงที่สุด

” คือตอนนั้นมันเน่าทั้งตัวเลย น้ำเหลืองวันหนึ่งดูดได้แก้วหนึ่ง สเตียรอยด์ กินวันละ 12 เม็ด และต้องทายาวันหนึ่งไม่รู้ตั้งกี่หลอด พูดตรงๆ มีหลายแวบว่าไม่น่าจะรอด แต่ก็ลองดู เราก็อดทนให้ถึงที่สุด “

อาการดีขึ้นเพราะลูก ลูกพูดอะไรกับเราบ้าง? เอ๋ เล่าต่อว่า

” คือตอนนั้นที่เราไปทำแชมเบอร์แล้วมันเป็นเยอะ ซึ่งตอนนั้นก็มีคนอื่นจะแนะนำวิธีอื่นให้ไปรักษาที่เมืองนอก โดยแฟนคลับเขาจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ ซึ่งลูกชายก็บอกกับเราว่า ถ้ามะม๊าลองอีกนะ จะไม่เรียกมะม๊าว่ามะม๊าแล้ว ไม่เห็นเหรอว่าปะป๊ากำลังจะหายแล้ว แล้วทำไมไปทำให้ปะป๊า ทรมาน อีก พอเขาพูดเราก็อึ้งว่าเขาเห็นสิ่งที่เราทำกันอยู่ เขาเข้าใจว่าพ่อเขาเจ็บ ทรมาน “

มีอะไรจะบอกกับลูกๆ บ้าง? เมฆ เผยว่า

” วันนั้นผัวเมีย 2 คนนั่งน้ำตาไหล คือมันดีอยู่แล้วทำไมต้องไปลอง ทำไมต้องไปทำ ถามว่าอยากบอกอะไรกับลูก คือที่สู้มาทุกวันนี้ก็เพื่อพวกเขา 2 คน พอเห็นเขา ความคิดลบมันหายไป มันทำให้เราคิดบวก ผมก็อยากให้ลูกเป็นกำลังใจให้เรา เป็นลูกที่ดี เป็นคนดีต่อไป “

เห็นว่ามีพระอาจารย์ทัก?

เอ๋ : ” คือมีทักหลายทางมาก มีมาทักคุณแม่ว่ามันเป็นกรรม คุณแม่ก็บอกไปว่าถ้าเขาดีขึ้นจะบวชที่อินเดีย และมีช่วงหนึ่งเหมือนเขาจะดีขึ้น ซึ่งคุณแม่เป็นคนรักสวยรักงามมาก เรายอมโกนหัวไปบวชที่อินเดีย 7 วัน “

เมฆ : ” แล้วแม่ยายผมเขามีพระที่นับถืออยู่ที่อินเดีย เขาบอกว่าให้มาบอกผมว่าไม่มีใครช่วยได้นอกจากตัวเอง ให้งดเนื้อสัตว์ไปเลย พอกินเจแล้วจากหน้าที่ดำก็เริ่มมีสีชมพู พอไปตรวจ ร่างกายหมอพูดเลยว่าทุกอย่างดีหมด ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ตรวจเลย หมอถามว่ากินเจใช่ไหม สเตียรอยด์ จะขึ้นได้อย่างไรถ้าไม่เติม “

มีความเชื่อเรื่องพญานาค?

เอ๋ : ตอนนั้นพี่เมฆเริ่มดีขึ้นเพราะตุ่มมันหายไป แล้วตุ่มขึ้นเป็นนูนๆ แต่นูนเป็นเกล็ดทั้งหลังเลย

เมฆ : คือก่อนหน้านี้เราคิดจะทำธุรกิจ ก็มีพระมาทักว่าให้เรานับถือพญานาค บอกว่าพญานาคองค์ดำเป็นองค์ผม พอเอากลับไปที่กระบี่หลังผมก็ขึ้นเป็นเกร็ด เอ๋ ก็บอกผมว่าเหมือนเกล็ดพญานาค

เอ๋ : จริงๆ มันมีเรื่องให้คิดเยอะเพราะหุ้นส่วนทุกคนที่ร่วมทำธุรกิจกับเรานับถือพญานาคหมดเลย แล้วทุกคนเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์เราก็คิดว่าอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น ตอนนี้เลยนับถือพญานาค เพื่อความสบายใจ อะไรที่ดีเราก็นับถือหมด

จากวันที่แอดเคยได้ไปสัมภาษณ์เปิดใจถึงบ้านพี่เมฆ ในช่วงที่ป่วยแรกๆ ในวันนั้นคือสัมภาษณ์ไปดูดน้ำเหลืองไป แต่ในวันนี้ เห็นพี่เมฆ อาการดีขึ้นมากแล้ว แอดดีใจที่พี่เมฆและครอบครัวสู้ และพยายามดีที่สุด ซึ่งแอดก็ขอให้ร่างกายหายป่วยแบบขาดโดยเร็ว จะได้กลับมามีผลงานให้แฟนๆได้ติดตาม ให้หายคิดถึง นะคะ