อั้ม อธิชาติ เผย! ปมในอดีต เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า

เปิดใจ! อั้ม อธิชาติ เผย! ปมในอดีต ถูกบูลลี่เป็นเกย์ เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า ผ่านมาได้แล้ว

กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง สำหรับพระเอกหนุ่มแห่งยุค อั้ม อธิชาติ ชุมนานนท์ เมื่อไม่นานมานี้เจ้าตัวได้ไปออกรายการ WOODY FM พูดถึงอดีตที่ถูกบูลลี่ว่าเป็นเกย์ จนกลายเป็นปมในใจ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้หลายคนสนใจมากขึ้น

ล่าสุด อั้ม ก็เข้าร่วมพิธี มหาเทวาภิเษก อธิฐานจิต เหรียญปาฏิหาริย์เหนือดวง วาระ 2 กับเซียนพระชื่อดังระดับตำนาน ป๋อง สุพรรณ ที่ อุโบสถ วัดพุทไธศวรรย์ พระอารามหลวง จังหวัด พระนครศรีอยุธยา

เจ้าตัวก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ถึงเรื่องราวปมในอดีต และ เข้าวัดทำบุญมากขึ้น โดย อั้ม เผยว่า

กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง หลังเราไปออกรายการ ?

อั้ม : จริงๆ ก็ไม่มีอะไรเลยครับ ข่าวนี้มันนานมาก ตั้งแต่เราเด็ก ๆ ช่วงที่เราเป็นวัยรุ่นก็เจอคำถามมากมาย ทำไมเขาเข้าใจแบบนั้น ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ ทำไมพูดแล้วถึงไม่เข้าใจ ก็น่าจะ 10 กว่าปีแล้ว แต่ว่าเราไม่เคยพูดที่ไหนเท่านั้นเอง

คือด้วยวันนั้นเราคุยกันแบบสบายๆ ก็เลยคุยว่ายุคนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนพูดยังไงคนก็จะเข้าใจในสิ่งที่เป็นตรงกันข้าม อย่างวันนั้นเราคุยกับพี่ วู้ดดี้ มันเป็นเรื่องของประสบการณ์แล้วกัน เรามองว่าทุกอย่างมันมีคุณค่าเมื่อเราผ่านมันมาได้ เราก็เอาประสบการณ์นั้นมาบอกกับคนอื่น ว่าเราเจอเรื่องราวแบบนั้น และมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป ยุคนี้เราจะเห็นว่ามีคนเป็นโรคซึมเศร้า จากการที่เราคิดว่าคนอื่นมองเรายังไง คนอื่นพูดถึงเรายังไง โซเชียลมันอันตรายมากจริงๆ เรามองว่ามันเป็นพิษอย่างหนึ่งสำหรับคนในยุคนี้

เราก็เคยมีวิธีการถอนพิษนะ จริงๆมันไม่ต้องถอนที่คนอื่นหรอก ใครจะเข้าใจแบบไหน เราไปห้ามเขาไม่ได้ มันอยู่ที่เราว่าเราจะถอนมันออกยังไง ถ้าสมัยก่อนกับสมัยนี้ จริงๆสมัยนี้มันแรงกว่านะ เพราะข้อมูลมันเข้าทุกวันทั้งเช้าและเย็น ธรรมชาติมนุษย์เวลาข้อมูลเข้า เราก็เข้าไปอ่าน ใครพูดถึงกู กูก็ต้องเข้าไปกดอ่านให้ได้ ก็เหมือนคนเอาขยะมาทิ้งหน้าบ้าน ปกติเราต้องเดินหนีขยะ แต่วันนี้เราต้องเดินไปขุ้ยขยะว่าในขยะมีใครเขียนชื่อเราไหม มีใครทิ้งของ

ตอนนั้นปล่อยผ่านยังไง มันหนักขนาดไหน ?

อั้ม : คือจริงๆ ไม่ได้รู้สึกว่ามันหนักขนาดไหน เรามองแค่ว่ามันวันนึงมันก็มีเรื่องที่เราไม่สบายใจ เราก็มองว่าเราไม่ค่อยอยากจะสังคมกับใคร ปกติเราเป็นคนไม่ค่อยสังคมกับคนมากอยู่แล้ว เรามองว่าถ้าเราเข้าไปในสังคมที่เขาไม่เข้าใจ หรือเขานินทาเราลับหลัง สู้ไม่ต้องเจอกันบ่อยๆ ก็เท่านั้นเอง จริงๆ ก็ไม่เชิงเปลี่ยน เพราะเราเป็นคนมีเพื่อนน้อยอยู่แล้ว ไม่ค่อยคบเพื่อนในกลุ่มเยอะๆ ใหญ่ๆ มันก็เลยใช้ชีวิตค่อนข้างเป็นธรรมชาติมากกว่า

 ถ้าตอนเด็กๆ ก็คงรู้สึกแบบ รู้สึกผิด เมื่อก่อนนักข่าวถามทุกวัน ทั้งที่เราก็เพิ่งบอก เคยพูดคำนึงว่า ว่ามันไม่ใช่เรื่องของไข้หวัดใหญ่ ที่บอกว่าหายแล้วมันไม่เป็น ก็คือไม่เป็น ช่วงเด็กๆ ก็มีคำถามหลายอย่าง ที่ไม่เข้าใจ เป็นเรื่องที่คุยกับนักข่าวไม่เข้าใจ แต่ตอนหลังก็เป็นเพื่อน เป็นพี่กัน เป็นเรื่องปกติ

เห็นทำบุญเข้าวัด ?

อั้ม : ต้องบอกว่าหลายสายครับ เพราะเราใช้ชีวิตตามสิ่งที่เราชอบ อย่างเรื่องของงานตอนนี้ก็ทำเกี่ยวกับสมุนไพร เกี่ยวกับสุขภาพ ก็จะมีโครงการที่เราเข้าไปพัฒนาชุมชน นำของไปถวายพระบ้าง นำของไปช่วยคนบ้าง จะได้เจอตามที่ต่างๆ วัดวาอารามที่ไหนที่เรามองว่ายังขาด ถ้ามีโอกาสสนับสนุนเราก็จะไป อย่างวันนี้ก็ได้มางานกับพี่ป๋อง ก็เป็นงานบวงสรวง

เห็นว่าจะมีโปรเจกต์ด้วยกันกับ พี่ป๋อง? 

อั้ม : จริงๆ ก็เป็นความตั้งใจระหว่างการทำเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ผมมีความตั้งใจจะทำภาพยนตร์ เป็นรากของแผ่นดิน เราอยากเห็นที่มาที่ไป และความเสียสละต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น เราอยากจะเล่าในยุคปัจจุบัน ก็ได้พบกับทางพี่ป๋อง เราก็มีความศรัทธาและชื่นชมในตัวพี่ป๋อง เหมือนกับผู้รู้จริงในเรื่องของพระเครื่อง ผมมองพระเครื่องคือเรื่องของศิลปะ เพราะพระเครื่องมีการเล่าที่มาที่ไป มีพลังงานของครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพราะฉะนั้นเรามีโอกาสได้ศึกษาและได้พูดคุย พี่ป๋องมองว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำนี้ แกเห็นว่าเป็นประโยชน์ ก็เลยจะมีโปรเจกต์ใหญ่ร่วมกัน พี่ป๋องเริ่มให้คำปรึกษามาแล้ว ก็เริ่มไปทำพิธีบอกกล่าวอย่างถูกต้อง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมาแล้ว และพี่ป๋องก็ช่วยออกแบบ เป็นครั้งแรกที่ทำร่วมกัน ผมศรัทธาและชื่นชอบในตัวพี่ป๋อง เราเห็นงานต่างๆที่พี่ป๋องไปสนับสนุน โรงพยาบาลคนเจ็บคนป่วย เรามองว่าของอย่างนี้มนุษย์เราใช้ได้เลย เพราะเราเจ็บเราป่วยเราก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งพี่ป๋องทำมามากมาย

เป็นพระเอกที่หล่อและสายบุญ เข้าวัดทำบุญตลอด เป็นขวัญใจพระเอกตลอดกาล ของสาว ๆ หลายคน

คลิปอีจันแนะนำ
อั้ม อธิชาติ ผ่านมาได้แล้ว ปมถูกบูลลี่ในอดีต