เปิดใจคู่รัก จอย – ปีเตอร์ รักที่ถูกมอง ไม่เหมาะสม

ฉันนี่แหละแฟนเขา เปิดใจ จอย สุจิตรา แฟนสาว ปีเตอร์ ธูนสตระ หญิงผู้ฝ่าฟันคำดูถูกมาแล้วกว่า 12 ปี ถูกมอง ไม่เหมาะสม ไล่ไปทุบหน้าใหม่ อีกทั้งยังป่วย โรคธาลัสซีเมีย จอย ผ่านในแต่ละวันมาได้อย่างไร วันนี้ร่วมเปิดใจไปพร้อมกัน

เป็นอีกคู่ที่เซอร์ไพรด์มาก สำหรับคู่ของ ปีเตอร์ ธูนสตระ ที่ควงแฟนสาว จอย สุจิตรา มาเปิดใจที่แรก เผยเส้นทางรักกว่า 12 ปี ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน และเล่าถึงอาการป่วยของ จอย กับ โรคธาลัสซีเมีย ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ใน รายการ คุยแซ่บshow รวมไปถึงถูก บูลลี่ ว่าไม่เหมาะสม ถูกไล่ให้ไปทุบหน้า

-ไม่เคยเปิดตัวที่ไหนมาก่อน แล้วคบกันมา 12 ปีแล้ว

ปีเตอร์ : ใช่ครับผม

ทำไมถึงเพิ่งมาเล่นติ๊กต๊อกอัดคลิปที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้?

จอย : เล่นมานานแล้วค่ะ แต่ว่าเพิ่งมาเป็นกระแสตอนที่อยู่โรงพยาบาล คือว่าตอนนั้นไม่แต่งหน้าแล้วถ่ายรูป คนก็เลยเข้ามาถามว่าป่วยจริงมั้ย ตัดต่อภาพหรืออะไร แล้ววันนั้นเป็นวันเกิดของคุณปีเตอร์เราอยู่โรงพยาบาลแล้วไปเที่ยวที่ไหนด้วยกันไม่ได้ เขาก็เลยมาอยู่โรงพยาบาลด้วยกัน เราก็เลยเอ่อ.. แต่งหน้าถ่ายรูปสักหน่อย

คือคนเขาคิดว่าเราถ่ายคนเดียวแล้วเอาพี่ปีเตอร์มาตัดต่ออยู่ข้างๆ ?

จอย : ใช่ค่ะ เขาก็ว่าเราตัดต่ออะไรประมานนี้อะค่ะ

-จุดเริ่มต้นของความรักรู้จักกันได้ยังไง?

ปีเตอร์ : ตอนแรกคือเขาทำงานที่ห้าง แล้วบังเอิญไปเจอเขาที่ทำงานอยู่ ก็เอ้ยน่ารักก็เลยเข้าไปคุยกัน แล้วเป็นยังไงต่อเล่าให้ฟังหน่อยครับ

จอย : วิ่งหนีค่ะ (หัวเราะ) คือวันนั้นเขามาทานข้าวแต่ไม่ได้ทานร้านเรานะ ไปทานร้านตรงข้าม แล้วเขาเดินมาหาเราด้วยความที่เราพูดภาษาไม่เป็น พูดได้แค่ไทยอย่างเดียว ก็เลยหนีเดินเข้าร้าน เขาก็พยายามเรียก เราก็ส่งเจ้าของร้านออกไปคุย บอกว่าฝรั่งคนนี้เขาจะเอาอะไรไม่รู้ ให้ไปรับรองหน่อย พอเฮียเขาเดินออกมาเขาก็บอกว่าเขาอยากคุยกับจอยอ่ะ เขาจะคุยด้วย

-ตอนนั้นพี่ ปีเตอร์ พูดภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย?

จอย : ภาษาไทยได้ แต่ยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ยังไม่ชัดเท่าตอนนี้

-ตอนที่เดินไปในห้างแล้วเห็นผู้หญิงคนนี้ปรากฎตัวต่อหน้าเราคือแบบสเปกเลยมั้ย?

ปีเตอร์ : ก็คิดว่าคนนี้น่ารัก ก็อยากคุย เพราะเราไม่ได้ไปที่นี่ประจำ ไปงานพอดีเลยอยากถือโอกาสถ้าไม่ได้คุยวันนี้ก็คงไม่ได้ข้ามกรุงเทพฯ มาอีก เห็นแล้วก็เลยอยากลองคุยกันดู

-ถ้าวันนี้ไม่ได้คุย คิดว่าจะเสียโอกาสไหม ?

ปีเตอร์ : ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ เพราะว่าโอกาสที่จะเจอและน่าสนใจก็ไม่บ่อย ก็เลยถือโอกาสคุยดู

-แสดงว่าเป็นคนชอบผู้หญิงตัวเล็ก น่ารักใช่ไหม?

ปีเตอร์ : ใช่ครับ น่ารัก นิสัยเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว

-สรุปวันนั้นเขาได้สั่งข้าวไหม ?

จอย : จริงๆเขาจะเอาเบอร์หนูนี่แหละ เราก็งงว่าเขาเป็นใคร เราก็เขินเลยแบบไม่ให้ดีกว่า ยังไม่อยากให้ แต่เพื่อนบอกให้ไปเถอะ เขาคงอยากได้ไปเฉยๆ คงไม่โทรคุยหรอก ก็เลยให้ไปเป็นเบอร์ เพราะตอนนั้นยังไม่มีไลน์ เฟสบุ๊คก็ยังไม่มี ต้องเข้าบราวน์เซอร์ก็เล่นยาก ก็เลยให้เป็นเบอร์โทรไป เขาก็ถามว่าเลิกงานกี่โมง พอเราเลิกงานเขาก็โทรมาเลย

ปีเตอร์ : ต้องหาโอกาสไม่ใช่ว่าปล่อยโอกาสผ่านไป ก็ต้องถือโอกาส

-แล้ววันแรกที่โทรหาคุยกันนานไหม ?

จอย : ก็ประมาณ ชั่วโมง สองชั่วโมง

ปีเตอร์ : ถึงเปล่า

จอย : เกือบๆ เพราะว่าวันนั้นฝนตก หลบฝนอยู่ในห้าง ไม่มีไรทำก็เลยคุย

-ตอนนั้นเขาพูดภาษาไทยไม่ชัด เราคุยกันรู้เรื่องไหมคะ ?

จอย : ตอนแรก ๆ ก็พอรู้แบบ งง ๆ บ้าง

-ตอนแรกที่คุยคือยังไง แนะนำตัวซึ่งกันและกันหรือป่าว?

จอย : ใช่ ค่ะคือเขาจะเป็นคนถามมากกว่า ถามว่าเราทำงานที่นี้นานหรือยัง อยู่ที่ไหน อยู่กับพ่อแม่หรือเปล่า ก็เลยตอบรวดเดียวไปเลย ตอนนี้อยู่กับลูกนะ มีโรคประจำตัวนะ คือบอกหมดทุกอย่างที่เขาอยากรู้ ก็คิดว่าให้รู้ไปเลยวันแรก ถ้าไม่คุยต่อก็คือจบไปเลย ก็แอบกลัวแต่สักวันเขาก็ต้องรู้แหละ ถ้าไปรู้ตอนหลังละมันจะเสียความรู้สึก

-ตอนนั้นรู้ไหมว่าเขาเป็นดารา ?

จอย : ไม่รู้ คิดว่าเป็นชาวต่างชาติทั่วไป

-ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นดาราเขามาจีบเราเรารู้สึกไหมว่าเขาก็หล่อนะ ?

จอย : หล่อนะ แต่ว่าหนูไม่ค่อยชอบฝรั่ง ไม่ชอบคนต่างชาติ เพราะว่าตัวใหญ่ ฟังไม่รู้เรื่องด้วย

ปีเตอร์ : ถือว่าอดทนมา 12 ปี ถือว่าไม่ค่อยชอบแต่ก็ทนได้ใช่ไหม

จอย : หมายถึงตอนแรกๆ

-รู้สึกยังไงพอคุยกันไปเรื่อยๆ ?

จอย : ก็นิสัยดีนะ แต่ว่าดูก่อนยังไม่ปักใจ

-เห็นว่าคุยกันไประยะหนึ่งแล้วคุณจอยตั้งย้ายไปอยู่ใต้

จอย : ก็คือว่าพึ่งเจอกันไม่ถึงอาทิตย์หนูก็ต้องไปช่วยงานพ่อ ช่วงนั้นก็คุยกันตลอด จริงๆ ก็ไม่ได้คุยเท่าไหร่เพราะเราก็ทำงาน

-ปีเตอร์รู้สึกยังไงกำลังคุยกำลังจีบก็ต้องไปใต้แล้ว?

ปีเตอร์ : ตอนแรกคิดว่าข้ามกรุงเทพมันไกลพอสมควร แล้วพอโทรคุยเขาบอกว่าต้องไปภาคใต้ เราก็เอ้า ไปภาคใต้ไปทำอะไร เขาก็บอกไปช่วยงานพ่อก็ไปสักระยะหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าจะไปนานเท่าไหร่อาจจะเป็นอาทิตย์ อาจจะเป็นเดือน คุยไปคุยมาสรุปไป 3 เดือน ก็คุยมาเรื่อยๆ ตลอดนะช่วงนั้น

-ตอนแรกเราประทับใจอะไรในตัวเขา?

ปีเตอร์ : เป็นคนสู้ เป็นคนเก่ง ยิ้มตลอด ก็เลยประทับใจ

-พอหลังจากไปอยู่ใต้ 3 เดือน เริ่มเดตกันตอนไหน ?

จอย : ก็หลังจากกลับมา

-แสดงว่าตั้งแต่คุยโทรศัพท์ยังไม่ได้เจอกัน ?

จอย :ใช่ค่ะ จนเรากลับมาเขาก็นัดกินข้าว ดูหนัง ตอนแรกก็ว่าจะกินข้าว ดูหนัง แล้วกลับแต่ก็ต่อยาวเลยค่ะ

-ตอนนั้นรู้สึกยังไงตื่นเต้นไหม ?

จอย : ก็รู้สึกแปลก ๆ ว่ามีแต่คนมองเขาแต่เราไม่รู้ เราก็แปลก ๆว่าทำไม ฝรั่งคนนี้มีแต่คนมองเยอะจัง ทำไมเขามองเราแปลก ๆ ก็เลยถาทเขาว่าคุณเคยออกทีวีไหม

-นอกจากมีคนมองแล้ว เวลาไปไหนมีคนมาขอถ่ายรูปเขามั้ย?

จอย : ตอนนั้นยัง ตอนที่ไปห้างที่หนึ่งก็ยังไม่มีใครมาขอถ่าย ได้แต่บอกว่าดารา เพราะเรามากินข้าวกันอยู่ในร้านอาหารก็ไม่มีใครเข้ามาถ่ายได้ แต่ก็ชี้และมองกัน เราก็รู้สึกแล้ว เราก็เลยถามเขาว่าเคยออกทีวีมั้ย เขาก็ตอบว่าใช่ แต่ก็ยังไม่บอกเราอีกนะว่าเป็นนักแสดงหรืออะไร เราก็กลับบ้านไปถามน้อง ถามน้องสาวว่าตัวเองลองเสิร์จดูให้หน่อยรู้จักมาคนนี้แล้วก็บอกชื่อเขาไป เขาก็บอกว่าเคยแสดงหนังด้วยเนี่ย

-ทำไมถึงไปบอกไปเลยว่าเราเป็นนักแสดง?

ปีเตอร์ : ก็มันเป็นเรื่องแปลกๆ เนาะ ก็ไม่รู้ว่าจะไปบอกทำไมว่า เออเราเป็นนักแสดงนะ รู้จักเรามั้ย เหมือนอวดตัวเอง คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว

-พอคุณแม่ของจอยรู้ก็ตกใจเลย?

จอย : เป็นแม่เลี้ยงเขาก็ตกใจ ว่ามีฝรั่งที่เป็นนักแสดงด้วยมาชอบ เขาก็บอกว่าเขาแค่คุยเล่นหรือเปล่าเพราะเขาเป็นนักแสดงด้วย เขาจะชอบใครก็ชอบได้เพราะรอบตัวเขามีแต่คนสวยๆ เราก็ทำใจว่าเขาอาจจะมาคุยเล่นๆ

-อะไรที่ทำให้เรามั่นใจว่าเขาไม่ได้เข้ามาคุยเล่นแล้ว?

จอย : อะไรดี (หัวเราะ) คือทุกอย่างที่เขาดูแลเรา

ปีเตอร์ : ดูแลนานพอสมควร พิสูจน์กันและกัน เขามาช่วยดูแลตอนที่เราลำบาก

-คุยกันอยู่นานมั้ยถึงตัดสินใจเป็นแฟนกัน วางอนาคตด้วยกัน?

ปีเตอร์ : ไม่ได้พูดเลยเนาะ เราสนิทและดูแลกันมาเรื่อยๆ

จอย : คนเขาเห็นเขาก็รู้กันเอง ว่าคบกัน

-มีเอ่ยปากบอกเป็นแฟนกันนะบ้างมั้ย?

ปีเตอร์ : ก็ไม่ได้พูดตรงเลยเนาะ เราเข้าใจกันเองมากกว่า

จอย : ถามเขาว่าไม่อายหรอมาคบกับฉัน

ปีเตอร์ : เขาเป็นคนถามตรงแบบนี้แหละ

-อายุห่างกัน 11 ปีมีผลบ้างมั้ย?

ปีเตอร์ : ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่นะ ไม่มี ถ้าเป็นวัยรุ่นอาจจะมากกว่า ถ้าเลย 30 ไปแล้วรู้สึกว่าไม่ต่างอะไรมากหรอก ตอนนี้ก็อายุ 50 แล้วออกกำลังกายตลอด มีผลช่วยได้แน่นอน

-โรคประจำตัวของพี่จอย?

จอย : เป็น โรคธาลัสซีเมีย ตั้งแต่กำเนิด เริ่มให้เลือดมาตั้งแต่ 4-5 ขวบ ทำให้ร่างกายรับธาตุเหล็กเกิน ตั้งแต่เจอเขา เขาก็หาทางรักษา

ปีเตอร์ : ตอนแรกที่คบกัน เราก็ไม่เคยเก็ต แต่พอคบกันจริงๆ แล้วเขาต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย เหมือนเพิ่งเข้าไปไม่นานเข้าอีกแล้ว เราเลยให้เขาเขียนมาแล้วก็ไปหาข้อมูล

จอย : หมอก็จะนัดติดตามอาการทุกเดือน ไปก็จะให้เลือด ถ้าไม่มีเลือดจากโรงพยาบาลก็จะเปิดรับบริจาค แต่ช่วงโควิดเลือดก็ขาดแคลนมากต้องนอนอยู่โรงพยาบาลนาน 2 เดือนตัวก็ซีดลงเรื่อยๆ

ปีเตอร์ : สำหรับคนที่ไม่รู้โรคธาลัสซีเมียคือไม่สามารถผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงสมบูรณ์ ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่รับออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปในร่างกาย ถ้าร่างกายไม่สามารถผลิตเซลล์ได้ก็ต้องรับเลือดที่บริจาคมา ก็จะช่วยได้แค่ 1 เดือน ก็ต้องไปหาหมอเรื่อยๆ ทุกเดือน

-ไปโรงพยาบาลทุกเดือน นอนทีละกี่วัน?

จอย : ช่วงนี้ก็จะนอน 5 วัน เพราะจะให้เลือด 2 ถุง แล้วก็กลับบ้านได้ แต่หมอจะสั่งให้ยาขับธาตุเหล็กเพิ่มก็คือว่าต้องนอน 5 วัน ให้วันละ 1 โด๊ส ก็คือ 8 ชั่วโมงที่ให้ทางสายน้ำเกลือ พอหมดแล้วก็ต้องให้ต่ออีกวัน ถ้าเรารักษาและให้เลือดอยู่ตลอดก็จะเหมือนคนปกติไม่มีอาการอะไร แต่ถ้าตัวซีดลงคือขาดเลือดแล้วจะมีอาการเป็นไข้ขึ้นสูง ติดเชื้อ จะเหนื่อย

-เวลาไปนอนโรงพยาบาลพี่ปีเตอร์ก็จะไปเฝ้า?

ปีเตอร์ : ก็ไปเฝ้าบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง เพราะด้วยการงานด้วย

-ทำไมถึงอยากดูแลอยู่ข้างๆ เขา?

ปีเตอร์ : เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนที่ดี สู้เก่ง เห็นคนสู้เก่งเหมือนให้กำลังใจเราด้วย ถ้าเราไม่เจออะไรหนักเท่านี้เราก็สู้ได้

จอย : ใช่ค่ะ ช่วงนั้นคือที่เจอคุณปีเตอร์อายุเกินแล้ว เขาก็พาไปหาหมอหลายโรงพยาบาลว่าสามารถทำได้มั้ย หมอก็ไม่แนะนำให้ทำเพราะอายุเกิน อายุต้องประมาน 20

ปีเตอร์ : และถ้าร่างกายข้างในเสียธาตุเหล็กไปเยอะเขาก็ไม่อยากให้เสี่ยง เพราะก่อนจะทำต้องทำลายไขกระดูดของเราก่อนแล้วเอาอันสมบูรณ์เข้ามา ถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์มันก็จะอันตราย

จอย : เราก็ตัดม้ามไปตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ภูมิต้านทานไม่มีก็จะป่วยง่าย

-ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน?

จอย : เยอะค่ะ

ปีเตอร์ : แต่ประกันสังคมช่วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนเราก็ต้องรับผิดชอบเอง

-ไม่ให้ทางเขาไปทำงานด้วย?

ปีเตอร์ : ไม่เชิงว่าห้าม หรือบังคับเด็ดขาด เราคุยกันว่าธรรมชาติถ้าจะหยุดทุกเดือน เดือนละ 3-5 วัน ใครจะให้เราทำ แล้วป่วยมายังต้องพักงานอีก ภาวะทำงานหนักก็กลัวป่วยอีก

จอย : มีภาวะกระดูกบางด้วย หักง่าย หมอบอกว่าต้องระวังเวลานั่งแรงๆ เคยมีซี่โครงหักอยู่ครั้งหนึ่งนานแล้ว ตกจากที่สูงมา นั่งอยู่หลังรถกะบะ

-มีครั้งนึงไปหาหมอช้าเกือบไม่รอด?

จอย : ก็มีที่ไปใต้อะค่ะ เรารักษาอยู่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ แล้ววันนั้นกำหนดหมอนัดแล้วแต่ยังไม่ได้กลับมา แล้วมีอาการขึ้นมาพ่อก็ให้อยู่บ้าน เราก็หายใจไม่ออก แน่นหน้าอกไข้ขึ้นสูง พอไปหาหมอทางนั้นก็ไม่สามารถรักษาเราได้ เขาก็ไม่รู้จะทำยังไง ให้ยาฆ่าเชื้อไข้ก็ไม่ลง ก็โทรมาขอประวัติตรงนี้ หลังจากนั้นก็ต้องมาตามหมอนัดตลอด

-มีเรื่องลูกชายที่ต้องปรับตัวด้วย?

ปีเตอร์ : ใช่ครับ ลูกชายกับแฟนเก่าคือเขาก็บอกเราตั้งแต่แรกเลยนะ เราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีแฟนที่มีลูกแล้วนะแต่ก็ลองดูละกัน เจอกันแรกๆ เขาก็บอกพาลูกไปด้วยได้มั้ย เราก็บอกพามาลองดู 3 ขวบน่ารักมาก เป็นเด็กดี

-ลูกชายเขายอมรับเรามั้ย?

ปีเตอร์ : เขาน่ารัก เขาโอเค เขาเรียกเราว่าลุง ชอบยิ้มอารมณ์ดีเหมือนแม่

-เราบอกลูกเราว่ายังไงตอนนั้นมีเขาเข้ามา?

จอย : ก็บอกว่าเป็นเพื่อนของแม่ พอโตขึ้นเขาก็รู้เอง เพราะเขามารับไปกินข้าวทุกอาทิตย์ ก็เหมือนเด็กเขารู้เอง ตอนแรกมีคนถามเขาว่าเป็นพ่อหรอ เขาก็ปฏิเสธ ตอนเล็กๆ เหมือนไม่ได้อยู่กับพ่อแท้ๆ ด้วย ประมาน 10 ขวบเขาก็เริ่มเข้าใจ ตอนนี้เขา 15 ขวบและใกล้จะถึงวันเกิดเขาแล้ว เขาไม่ได้เรียกแด๊ดดี๊เขาเรียกลุงเหมือนเดิมเพราะติดปากมาตั้งแต่เด็ก

-ทุกวันนี้เขาเข้าใจแล้ว มีมาปรึกษาอะไรกับเรามั้ย?

จอย : ไม่มีค่ะ เขารู้แล้วว่าเขาเป็นคนดูแลคุณแม่ดูแลไปถึงลูกชายด้วย

ปีเตอร์ : เสียดายอย่างหนึ่งเขาไม่ได้พูดภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก จับเรียนตอนนี้ก็ยาก ไม่งั้นจะได้สองภาษาไปเลย

-ทำยังไงให้ลูกเขายอมรับในตัวเรา?

ปีเตอร์ : ก็จริงๆ แล้วโชคดีที่เขาเป็นคนสนุกสนานอารมณ์ดีไม่มีอะไรต้องปฏิเสธอะไร ด้วยความเป็นผู้ชายด้วยก็จะชวนกันไปเล่นเกมส์ในห้าง

-คาดหวังในอนาคตมั้ยเขาจะเรียกเราเปลี่ยนสถานะมั้ย?

ปีเตอร์ : ผมโอเคนะครับ อยากให้ทุกคนแฮปปี้ ถ้าเขาโอเคที่เรียกว่าลุงผมก็แฮปปี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกไม่ใช่คำพูด ก็เป็นลุงกับหลานที่สนิทกันพอสมควร เขาเลี้ยงลูกเก่งมาก

จอย : ตามนั้นเรียกยังไงก็ได้ เพราะเขาไม่ได้ซีเรียส สบายๆ

-โดน บูลลี่ ยังไงบ้าง?

จอย : เขาบอกว่าไม่เหมาะสม ไม่สวย มาทางคอมเมนต์ ตอนแรกบอกว่าเราจ้างคุณปีเตอร์มาพูดได้เท่าไหร่ตอนไลฟ์สด ก็คิดว่าเราจ้างเขามา ตอนแรกบอกตัดต่อภาพ วีดีโอ ไลฟ์สด บอกเขาเป็น AI บอกให้หนูไปทำหน้าใหม่ สวยนะแต่ไปทำจมูก ตัดกราม เหลากราม ทำให้หมดเลย ไม่เคยอยากตอบโต้เขา แต่ก็มีแฟนคลับน่ารักมากเป็นเอฟซีเขาก็ตอบกลับแทนทุกอย่าง เราก็อยู่เฉยๆ เขาชอบเราที่เป็นแบบนี้

ปีเตอร์ : ใช่อย่างที่บอกฝรั่งชอบแบบนี้ มันคือสเปก บางคนเป็นเกรียนคีย์บอร์ด

-เคยปรึกษากันเรื่องนี้มั้ย?

จอย : อย่างล่าสุดเขาบอกว่าทำไมเราไม่เรียนภาษาอังกฤษ ทำไมไม่ให้ปีเตอร์สอน เขาก็ว่าเราว่าโง่ พูดไม่ได้ เราก็บอกว่าไม่ต้องไปสนใจ

-มีนั่งร้องไห้น้อยใจ?

จอย : ไม่เคยเลยค่ะ

-ให้กำลังใจกันยังไงบ้าง?

ปีเตอร์ : พยายามสกิดเขาบอกคุณรอดมาเยอะแล้ว ไม่ต้องสนใจคนอื่น เขามีคนที่รักดูแลอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกเขาอาจจะแย่หน่อย

-ฝากถึงคนที่มาบูลลี่?

จอย : ไม่รู้จะบอกอะไรเขาดี ถึงบอกไปเขาก็ทำอยู่ดี อยากให้คิดก่อนพูด ดูความจริงก่อน

ปีเตอร์ : เช่นกัน จริงๆ แล้วคิดว่าเป็นคำพูดที่เอ่ยออกไป แต่เราควรระมัดระวังมันเหมือนอาวุธ อย่าพูดอะไรที่ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี

เรื่องของหัวใจ บางทีรูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง สเป็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าเอาตัวเองไปตัดสินความชอบของใคร อย่าวิจารณ์ว่าใครเหมาะกับใคร และใครไม่เหมาะกับใคร เพราะสุดท้ายคนที่เขาอยู่ด้วยกัน จะเป็นคนตัดสินเอง