ทราย สิรณัฐ สุดเจ็บช้ำกับเรื่องในอดีต โดนพี่เลี้ยงข่มขืน

​​​ทราย สิรณัฐ สุดเจ็บช้ำกับเรื่องในอดีต โดนพี่เลี้ยงข่มขืน แม่ไล่ออกจากบ้าน

เป็นการออกมาโพสต์เรื่องราวที่สุดเจ็บช้ำในอดีตของ ทราย สิรณัฐ สก็อต ทายาทตระกูลดัง ที่ได้เจอมาก กว่าที่คนคนนึงจะผ่านเรื่องราวเหล่านี้มาได้ มันไม่ง่ายเลย โดยเรื่องราวนี้ ทราย ได้เขียนเล่าผ่านเฟซบุ๊กว่า

ความหดหู่ที่ทุกคนได้เห็นในช่วงที่ผ่านมาจริงเป็นผลจากเรื่องร้ายๆในชีวิตที่เกิดขึ้นต่อเราเรื่อยๆจากครอบครัว มันทำให้เราเครียดจนถึงจุดพีคมาสักพักนึงแล้ว ทรายได้ใช้เวลาเขียนอธิบายที่มาๆเพื่อบำบัดและช่วยเล่าเรื่องเรา ที่รอดมาได้ที่อยู่เบื้องหลังภาพสังคมและครอบครัวที่โอเค ทรายรู้สึกดีขึ้นแล้วหลังจากที่ได้เขียน ได้อัด… เรื่องราวทั้งหมดมี หกหน้านะครับ ทรายจะใช้เวลาเอาบทความลงวันละสองหน้าเลยมันจะมีสาม [3/3] post เพราะ เนื้อหามันหดหู่และไม่ได้เป็นแบบที่ทุกคนคิดนะครับ

ขอวางคำเตือนด้วยว่าบทความที่ทรายเขียน พูดถึงการ ข่มขืน การทำร้ายเด็ก นะครับ

[1/3] ความจริงของ ทราย สก๊อต : เหตุการณ์ตอนต้น

ทรายเงียบตลอดเดือนๆที่ผ่านมา ทรายหวังว่าคลิปนี่จะอธิบายเหตุผลให้ทุกคนได้ หลังจากนี้ทรายไม่รู้ชีวิตครอบครัวจะเปลี่ยนยังไงแต่ถ้าทรายคุยกับคุณตาของทรายได้ทรายจะบอกตาว่าทรายไม่มีบ้านอยู่ ไร่ครอบครัวที่พึ่งพาได้ ทรายอยู่แบบนี้มาเกือบสองปีแล้ว ทรายโดนคนที่บ้านข่มขืน และทรายไม่ได้รับการปกป้องจากแม่ทรายเองแต่เขากลับทำร้ายทรายด้วยความรุนแรงจนถึงจุดที่เขาไล่ทรายออกจากบ้าน ทรายจะไม่วิ่งจากความทุกข์แล้วทรายจะเล่าออกมา

……..

ทรายเกิดมาในครอบครัวใหญ่ที่หลายคนคงรู้จักแต่ในความเป็นจริงหลักๆทรายอยู่กับคุณตา และคุณยาย คุณแม่ และพนักงานที่บ้านหลายคน คุณตาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ทำงานเลี้ยงดูทุกคน…ทรายมี พี่เลี้ยงคนนึงดูแลเป็นหลัก ที่ชื่อว่า ‘มีนา’ ชีวิตประจำวันของทรายจะอยู่ภายใต้การดูแลของ พี่เลี้ยงและคุณตาคุณยาย เพราะว่าคุณแม่ไปเที่ยวในและต่างประเทศบ่อยครั้ง

ส่วนพ่อทรายได้ หย่ากับแม่ก่อนที่ทรายเกิดและไปมีครอบครัวใหม่ เราไม่ได้เจอกันบ่อย เขาไม่ได้มีบทบาทในชีวิตเรา เขาบอกเราตั้งแต่เด็กเขาว่าเขาไม่ยุ่งเกี่ยวเพราะเขารู้สึกด้อยและอึดอัดตอนอยู่กับแม่และเขาเห็นว่าเราอยู่กับครอบครัวรวยสบายแล้ว…

บ้านที่ทรายอยู่ตอนเด็กอยู่ที่กรุงเทพ แถวเอกมัย ทุกมื้อตอนเย็นๆทรายจะทานข้าวกับคุณตา คุณยาย และแม้ว่า ทั้งสองมีอายุและคุณตามีหน้าที่การงานที่สิงห์หนัก ทั้งสองรวมเลี้ยงดูทรายเหมือนเราเป็นลูกอีกคนนึง นอกจากพี่เลี้ยงที่ชื่อมีนาแล้ว ที่บ้านมีพนักงานที่คอยดูแลบ้านหลายคนเป็น แม่ครัว แม่บ้าน คนขับรถ ทรายเรียกพวกเขาว่า ป้าๆ น้าๆ ลุง หมด แม่บ้านแม่ครัวเติมเต็มส่วนที่เราขาดจากพ่อแม่เสมอ ป้าๆ น้าๆ ที่บ้านเป็นคนแรกที่กอดทรายตอนกลับมาจากโรงเรียนและถ้าไม่มี แม่ หรือ ผู้ใหญ่อยู่บ้านเขาจะคอยทานข้าวด้วยและปลอบใจตอนเราเศร้า ความผูกพันธ์ที่เรามีตั้งแต่เด็กทำให้ทรายรู้สึกไม่ชอบที่เขาต้องนอนบนพื้นหรือกินอาหารที่ต่างจากเรา ในวิธีของเราตอนเด็กๆ ทรายเลยพยายามช่วยป้าๆ เขาล้างจาน เก็บจาน + ดูแลตัวทรายเองจะได้เราไม่เป็นภาระเขา…… ออกจากทุกคนในบ้านมีคนนึงที่ผมกลัวที่สุดคือพี่เลี้ยงที่ชื่อ มีนา ผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนที่ทำร้ายผมและข่มขืนผม..เขาอยู่กับบ้านเรามา 20 กว่าปีและผมกลัวเขามาทั้งชีวิตและ

มีนา ทำทุกอย่างแทนแม่ เขาจะคอย แต่งตัวเรา อาบน้ำให้เรา และนอนข้างเราในห้อง เขามีอำนาจที่จะตัดสินใจแทนผมในทุกเรื่อง จากกิจกรรมของทรายรวมไปถึงว่าเราทานอะไร .. ทรายจะถูกพาไปฝึกร้องเพลง เรียนดนตรี แข่งว่ายน้ำ หลายอย่างที่ทรายทำแม่ไม่เคยมาดูแต่ถ้าทรายร้องเพลงหรือ ทำการแสดงต่อหน้าคุณตากับสังคมแม่ถึงจะมา กอดเราให้เวลากับเรา… … ทรายขอให้แม่อยู่บ้านแต่เขาจะตอบว่า ‘ตอนฉันอยู่เราเองไม่มาหาฉันเอง” บางครั้งก็จะพูดว่า “นั้นทำตัวให้ดีๆอย่าเป็นเด็กดื้อ”…. ทรายรู้สึกโลกที่อยู่ตอนเด็กมันแคบและโดดเดี่ยวเหมือนทรายต้องพยายามสู้เพื่อจะทันญาติๆที่มีพ่อแม่คอยจับตามอง ซื้อของใช้อย่างเช่น เสื้อผ้า กระเป๋าดินสอ หรือพาไปดูหนังวันเสาร์อาทิตย์ …แต่ถ้าได้อยู่กับแม่เราจะรู้สึกปลอดภัยพี่เลี้ยงดุเราไม่ได้ เราจะได้ทานขนมและอยู่กับของเล่นโปรดของเราได้ (ซึ่งสมัยก่อนทรายชอบ บาร์บี้และคุณแม่จะเก็บไว้ที่ห้องนอนเขา ทรายไม่สามารถเอาบาร์บี้ไปเล่นนอกจากให้คนอื่นเห็นได้ และทรายห้ามเอาไปโรงเรียนเด็ดขาด อาทิตย์ละครั้งเพราะแม่ไม่อยู่คุณแม่ให้พนักงานเปิดห้องเขาให้ทรายไปเล่นกับ ตุ๊กตาบาร์บี้)….ถ้าทรายไม่ยอมทำตามคำสั่ง ฟึกว่ายน้ำหรือลดน้ำหนักไม่ลงมีนาจะอาละวาดใส่ทรายเขาจะทุบและตีเรา บางทีเขาก็จะเตะเรา

ในจังหวะที่แม่กลับมาเราเอาเรื่องราวพวกนี้ไป ฟ้องแม่แต่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาไม่กอดเราและพี่เลี้ยงที่ชื่อว่ามีนาก็ไม่ถูกไล่ออก….

ในห้องนอนทรายๆ จะมีพี่เลี้ยงที่ชื่อว่า มีนา นอนข้างๆตอนผมประมาณอายุ 8-10 ขวบ เช้าวันนึงก่อนไปโรงเรียนทรายตื่นขึ้นมาขอให้พี่เลี้ยงพาเราไป ฉี่ พี่เลี้ยงเขาตัวใหญ่กว่าเราสามเท่า เขาดึงกางเกงของทรายลงและกดแขนทรายลงมีนาเอาตัวเขานั่งทับทรายและทูกับตัวทราย ในช่วงนั้นทรายช็อก กลัวมากๆไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกับเรา ทรายจำได้ว่าเขาจะพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาทำกันตอนอยากรู้สึกสบายๆ ผ่อนคลาย” ตอนมีนาหยุดทำร้ายทรายแล้ว ทรายออกมาจากห้องนอนทรายมีความรู้สึกที่ หดหู่มากๆ ใจทรายสมองทรายโดยอัตโนมัติ เริ่มนึกถึงความทรงจำดีๆเหมือนร่างกายทรายต้องการความอบอุ่นความปลอดภัยที่ได้จาก อ้อมกอดคุณแม่และความอบอุ่นของตายาย ความรู้สึกอบอุ่นจากความทรงจำปนเปื้อนไปกับความรู้สึกอยากร้องไห้… ตอนโตแล้วเราถึงเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเรียกว่า ข่มขืน/การทำร้ายเด็ก ต่อจากนั้นมาเรารู้สึกว่าร่างกายเราไม่ปลอดภัยและต้องเกร็งตลอดเวลาตอนอยู่กับ พี่เลี้ยงเรา

เราก็ไม่กล้า ที่จะบอกใครเพราะเรากลัวมากๆ กลัวแม่ กลัวที่จะบอกตา เราไม่กล้าและไม่รู้ว่าจะบอกยังไง แล้วถ้าบอกไปเรากลัวพี่เลี้ยงจะทำร้ายเราอีก…ผมไม่ได้คิดที่จะขอให้แม่ช่วยเพราะยังไงพี่เลี้ยงอยู่ต่อ

ช่วงผมอายุ 12-16 พี่เลี้ยงไม่สามารถทำร้ายเราได้แล้วเพราะ ทรายย้ายไปอยู่ในห้องคุณตาเพราะเขาเริ่มป่วยและต้องมีนางพยาบาลและคนดูแลอยู่ด้วย…นี่เป็นช่วงเวลาที่ทรายปลอดภัยและได้มีสายตาของผู้ใหญ่ที่ คอยตามว่าดูแลเรา ตาให้เราเลือกอาหารที่เราอยากกินตาอิสระที่จะออกข้างนอกตามใจ ตอนที่เราอยู่กับตา แม่และมีนาจะเริ่มซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆให้เรา

ตาคอยสอนให้เราคิดแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และจะตามเรื่องการบ้านเสมอ…ความปลอดภัยและความรักที่เราได้จากตาสอนให้เรา คุ้นเคยกับความรู้สึกปลอดภัย ความสุขและให้ดูแลตัวเอง…. ทรายเห็นตาทำงานมูลนิธิต่างๆทำให้ทรายเปลี่ยนมุมมองของฐานะเรา ว่าเราในสังคมที่มีโอกาสและต้นทุนเพื่อจะช่วยคนอื่นตั้งเยอะ

ช่วงนี้แม่ก็มาทานข้าวกับตาบ่อยๆและเกือบทุก มื้อหลายครั้ง ตาจะไม่มองหน้าแม่ ตาจะเงียบไม่คุยด้วย… นางพยาบาลของตามาเล่าให้ฟังทีหลังว่าตาไม่พอใจกับการเลี้ยงดูของแม่

สำหรับเรื่องที่ตาไม่คุยกับแม่ แม่เขามาลงโทษทราย เขามาบอกทรายว่าเขาเอาตุ๊กตาบาร์บี้ทั้งหมดที่เก็บไว้ในห้องไปโยนทิ้ง… บ่ายนั้นตอนเรานั่งทานข้าวพร้อม ตา ยายและแม่ ตาถามทรายว่าทรายเป็นอะไรแต่ทรายไม่กล้าที่จะมองหน้าตอบตาเพราะกลัวแม่ทำร้ายเราอีก ตอนตาลุกขึ้นจากโต๊ะแม่ทรายเลยคว้าง รีโมท ทีวีใส่ทรายและ ตวาดใส่เราว่าอย่าทำให้เขาดูไม่ดีอีก….โชคดีตาได้รู้ผ่าน ป้าๆพนักงานที่บ้าน ว่าแม่ได้โยนของเล่นเราไปหมด เลยตาก็เริ่มให้เงินเราไปซื้อตุ๊กตาบาร์บี้เองและตาก็บอกว่าอย่าเก็บที่ห้องแม่ให้เอามาไว้ในห้องตาแทน (สมัยก่อนห้องตาเป็นที่ๆตารับแขกด้วย ตาเขาไม่เคยอาย บาร์บี้ทราย เขาไม่อายที่ผมเป็นเกย์)

[2/3] ความจริงของ ทราย สก๊อต : ตาเสียชีวิตและแม่เริ่มรุนแรง ทรายไปบำบัดใจที่ต่างประเทศเพื่อจะกลับมาสู้ชีวิตคืนที่ไทย

ปีละครั้งที่ทรายจะได้ไปเที่ยวกับแม่และอยู่แบบครอบครัวที่แท้จริง เราไปสหรัฐและไป Disneyland เรามีความสุขที่ได้อยู่กับแม่ทั้งวัน แม่จะทำอาหารให้ พาเรานั่งรถไปดูหาดทรายได้ตื่นและรู้ว่าแม่อยู่ใกล้เรา มันคือความอบอุ่นที่ทำให้ทรายรักในการวาดภาพแนว Disney ตอนกลับมาที่ไทย ที่บ้านเอกมัยทรายก็จะวาดภาพเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ตัวเอง…. ทุกครั้งก่อนแม่กลับมาจากงานหรือต่างประเทศเขาจะโทรบอก ป้าๆแม่บ้าน ว่าให้เตรียมน้ำดื่มหรืออาหาร ตอนป้าๆมาบอกเรา เราก็จะนั่งรอแม่ข้างหน้าบ้านกับภาพเจ้าหญิง Disney ที่เราวาดให้ แต่ทุกครั้งรถเขาก็จะขับผ่านเราและตรงไปหลังบ้านตรงห้องเขาเลย..

ผมอยู่ที่บ้านแบบนี้จนผมอายุ 18 และเริ่มมีอาการ ซึมเศร้า เราขาดความอบอุ่นและอยู่กับพี่เลี้ยงมานานมากๆ ความทุกข์การซึมเศร้าที่รู้สึกมาจากคนรอบข้างที่ไม่เห็นถึงใจหรือความต้องการของเราได้… ในความเศร้านี่ แสงสว่างของเราคือความฝันที่จะเป็นนักศิลปะให้ Disney และย้ายกลับไปสหรัฐ.. ทรายทุ่มเทฝึกวาดรูปวันละ 8-12 ชม ทุกๆวัน

สุดท้ายเราสามารถเข้ามหาลัยที่ Disney ก่อตั้งชื่อว่า CALARTS ที่สหรัฐ โรงเรียนนี่ติดอันดับหนึ่งสำหรับด้าน Animation..

คุณตาไม่ได้อยากให้เราไปเรียนที่ห่างไกลเพราะตาอยากให้เราอยู่ใกล้ สิงห์แต่ท่านไม่เคยห้ามเรา…ก่อนที่ทรายจะบินออกไปตาเอาซองเงินยื่นให้เราและบอกว่า “อย่าเอาให้แม่เก็บ เราเก็บเอง” คุณตาทรายเสียไปสองปีหลังจากที่เราเริ่มเรียนที่มหาลัย ทรายอายุ 20.. และตอนทรายกลับมาพิธีงานศพตา ทรายถึงเห็นว่าภาพที่ทรายวาดช่วงที่ทรายเรียนมหาลัย ตาได้เอาใส่ กรอบอย่างดีแขวนไว้ในห้องนอน… ทรายเลยรู้ว่าตาคือพ่อเรามาตลอด

หลังจากตาตายทรายรู้สึกหลง เพราะตาเป็น ต้นไม้ที่ปกป้องทุกคน แม่เรากลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ทรายได้หวังว่าหลังตาตายอย่างน้อยครอบครัวเราจะอบอุ่นขึ้นเพราะมีแค่เราสามคน (ทราย แม่ และลูกชายอีกคน)

แม่เป็นคนเก็บสมุดบัญชีและทรัพย์สินของผมทั้งหมด ตอนอยู่ที่สหรัฐที่พักที่ทรายอยู่เป็นคอนโดที่ตาช่วยแม่ซื้อตอนที่ทรายเริ่มเรียน หลังจากตาเสียแม่เขาติด กล้องวงจรปิดในห้องครัวและห้องนั่งเล่นเขาจะคุยกับทรายผ่านกล้องวงจร ถ้าเราเอาของไปวางบนโต๊ะหรือทำอะไรที่ขัดใจเขา เขาขู่ว่าจะให้เราจ่ายค่าเช่าและเขาจะบอกเราว่า พ่อเธอไม่มีปัญญาหาบ้านให้เธอแบบนี้หรอก…ถ้าทรายพูดถึงตาเขาตอบว่า “เวลาของตาหมดไปแล้ว นี่คือเวลาของฉันที่จะปกครองอำนาจ” ทรายไม่รู้ว่าจะพูดยังไง แค่ว่าเราต้องทำใจอยู่ในที่ๆไม่อยากให้เราอยู่รอจังหวะให้เราเรียนไม่จบ

ตลอดช่วงที่ทรายอยู่ต่างประเทศทรายต้องพึ่งพาเขาสำหรับค่าเดินทางไปโรงเรียนและค่าอาหารการกิน..แม้ว่าเราใช้เงินสำหรับเรื่องหลักๆทุกอาทิตย์แม่เขาก็จะเขียนมาว่าเราใช้เงินเยอะเกิน เขาจะสั่งให้เราเดินทางน้อยลง เสนอให้เราทานข้าวน้อยลงถ้าเขาไม่พอใจกับเรามากเขาจะงดให้เงินเราเลย

เหตุการณ์ที่ทำให้ทรายรู้ว่าต้องย้ายออก คือช่วงนึงที่แม่มาเยี่ยมเราที่สหรัฐ ทรายกำลังอาบน้ำอยู่ เขาเดินเข้ามาในห้องนอนทรายและทรายสังเกตว่าเขายืนมองทรายระหว่างที่อาบน้ำอยู่ผ่านช่องประตูห้องน้ำเขายืน อยู่สักพักนึงทรายรู้สึกหดหู่มากๆทรายไม่ปลอดภัย รอบหน้าแม่เขากลับมาจากการเที่ยวต่างประเทศ เขาซื้อกางเกงชิ้นนึงมาให้ผม กางเกงในอันนี้มีรูปลิงที่จับกล้วยตรงเป้าและเขียนว่า “ดูกล้วยที่ใหญ่ของเราสิ”

ทรายเรียนมหาลัยจบทรายตัดสินใจโทรบอกพ่อว่าทรายต้องย้ายไปที่อังกฤษ (พ่อเป็นคนอังกฤษ) พ่อช่วยสนับสนุนเราและพร้อมกับเงินของตัวเองที่ทรายคอยเก็บทรายก็สามารถย้ายไปได้…ทรายสมัครหางานทำเป็นพนักงานที่ร้านDisney ขายของธรรมดาๆเพื่อจะอยู่ไกลๆจากแม่…จากที่ทำงานและยิมทรายได้มีเพื่อนใหม่ ทรายเล่าเรื่องระบายชีวิตให้เพื่อนๆและเขาแนะนำให้เราคุยกับ จิตแพทย์เพื่อช่วยบำบัดบาดแผลในใจจากเรื่องทั้งหมด ช่วงที่ทรายเริ่มเข้าหาหมอจิตวิทยา ทรายได้มีแฟนคนแรกและช่วงที่อยู่กับแฟนมันกระตุ้นความทรงจำสมัยเด็ก ของเรื่องที่พี่เลี้ยง ข่มขืนเรา ความทรงจำนี่ละเอียดกระทั่งถึงแรงที่พี่เลี้ยงใช้กดเราลงได้เลย เอาเรื่องพวกนี่ไปเล่าให้ หมอจิตวิทยาและเขาแนะนำคู่มือให้เราใช้

1. การนั่งสมาธิ

2. จดความคิดของเราลงบนกนะดาษเพื่อช่วยมองถึงเรื่องต่างๆที่เรากังวล

สุขภาพจิตของทรายดีขึ้น ทรายมีเพื่อนที่อบอุ่น เราทำงานขายของที่ร้าน Disney เก่งจนเราเป็นพนักงานขายรายได้ดีอันดับต้นๆของร้าน ความนิ่งในใจพร้อมกับความอบอุ่นรอบข้างทำให้เราสามารถคิดถึงเรื่องอื่นได้ และอีกสักพักเรารู้สึกว่าแต่ละวันเราจำหน่ายถุงพลาสติกให้คนที่มีซื้อของเยอะมากเลยเราเริ่มคุยกับลูกค้าทุกคนตอนจ่ายตังว่าคุณอยากช่วยลดถุงเพื่อช่วยโลกมั้ยครับ?

ตอนที่ Covid ปี 2020 กำลังเริ่มระบาดทรายพึงจะเริ่ม เรียนปริญญาโทแต่ก็ไม่ได้มีความสุขในการเรียน พอได้ข่าวเรื่องโควิดทรายรู้สึกว่าไม่อยากติดอยู่ที่ๆไม่ใช่บ้านเรานี่คือโอกาสที่จะกลับบ้าน ที่ไทย ในจังหวะนั้นทรายได้โทรไปบอกแม่ว่าเราคิดถึงเขาและอยากกลับบ้าน – ตลอดช่วงที่อยู่ไทยและที่ต่างประเทศ ทรายอยู่ในบ้านที่รุนแรงและยังไม่สามารถหนีห่างจากคนที่สร้างความอันตราย ในความคิดเพื่อเอาตัวรอดทรายจะพยายามแก้ตัวให้กับคนที่ทำร้ายเรา โทษตัวเองว่า “ทำไมเราทำให้เขาโกรธ” – ทรายจะโทษตัวเองก่อนที่จะยอมรับว่าคนอื่นเขาทำร้ายเราจนทรายเองกลัวและไม่มั่นใจในตัว

สมัยเด็กๆคุณตาและครอบครัวจะไปอยู่ที่หัวหินกันบ่อยๆนี่คือบ้านครอบครัวของทุกคน ช่วงก่อนที่เราไปมหาวิทยาลัย ตาได้สร้างห้อง/ตึกเล็กๆให้ทรายอยู่เอง แยกออกจากบ้านใหญ่ บ้านครอบครัวนี้ติดทะเลที่ แม้ว่าเราคิดถึงทะเลตอนนั้น มีนายังอยู่เป็นพนักงานที่บ้าน ทรายยังกังวลว่าเราจะรับได้มั้ยต้องใช้ชีวิตในขอบเขตตามคำสั่งเขามั้ย?

สิ่งแรกที่ทรายทำตอนกลับไปหัวหินคือลงในน้ำทะเล ทรายจะพยายามบรรยายความรู้สึกที่ทรายมีต่อทะเลให้นะครับ ทรายรู้สึกเชื่อมกับทะเลไทยเหมือนว่าสำหรับร่างกายเราสำหรับจิตเรานี่คือความรู้สึกความหมายของคำว่าบ้าน การที่รู้สึกว่าเรามีที่ปลอดภัยในตัวเราเองเป็นสิ่งที่ทรายรู้สึกว่าคาดมาทั้งชีวิต ทรายลงน้ำบ่อยจนทรายเริ่มว่ายน้ำทุกวันเริ่มจากแค่ 1km เราฝึกว่ายจนเราว่ายได้ 4km (ซึ่งตอนนี้คนอ่านคงคิดว่าไม่เยอะเพราะตอนนี้ทรายว่ายได้ 30km แล้วแต่ตอนนู้น ระยะ 4km ถือว่ายาวมากๆ)

…ที่บ้านตอนนั้นแม่ก็อยู่ ญาติและเพื่อนพวกเขาอยู่ ตลอดที่ทรายว่ายน้ำหรือเล่นกีฬาทางน้ำเพื่อนๆและญาติๆเขาจะชมและถามถึงความเหนื่อยของเรา แต่แม่ทรายจะไม่พูดอะไรเลย

ตลอดเวลาที่ผมอยู่หัวหินและเจอมีนาหรือแม่ผมจะใช้วิธีบำบัดใจแบบที่หมอจิตวิทยาเขาได้สอนเราไว้ ทรายจะพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่มีนาทำร้ายเราและวิเคราะห์ว่ามันกระทบเรายังไง ทำไมคนทำแบบนั้น เขายังเป็นคนร้ายแบบนั้นอยู่มั้ย เพราะตลอดเวลา 20 ปีที่เขาอยู่มาเขาทำตัวเหมือนเขาห่วงใยเรา เขาจะทำท่าเหมือนการที่เขาทำร้ายเราเป็นเรื่องปกติ เลยทรายคิดว่าตัวเองผิดตัวเองเรื่องมากและเราก็ บล็อกความคิดต่อเรื่องนี้ แต่ทุกครั้งที่ทรายอยู่ในทะเลและใจเราสงบความทรงจำความรู้สึกมันมาชัดมากและเมื่อไหร่เรากลับขึ้นบนฝั่งและต้องเจอเขาเราจะหดหู่ในใจในกาย…ก่อนว่ายน้ำวันนึงทรายเดินไปขอให้ป้าๆแม่บ้านช่วยทายากันแดดบนหลังเรา มีนาเขาได้ยินและปฏิเสธให้ป้าๆทาให้เรา ทรายปฏิเสธไม่อยากให้มีนาแตะเราแต่เขาก็ทาไปอยู่ดีซึ่งทำให้ทรายอึดอัดมาก ช่วงที่เขาทายากันแดดเสร็จเขาดึงกางเกงว่ายน้ำของทรายลงและ ยิ้มหัวเราะ…ทรายตกใจกลัวและพยายามทำใจนิ่งๆ เรารู้สึก panic แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ทำไมมันรู้สึกแปลกและโคตรไม่โอเค

หลังเหตุการณ์นี้ทรายมองเห็นชัดว่าที่แท้แล้วเขามองเราเป็นเหยื่อและเขาเป็นคนที่อันตราย

หลังจากนั้นทรายไปนั่งบนหาดทรายและมองเห็นเด็กวิ่งเล่นบนหาดด้วย เด็กๆเขาดูอิสระและมีความสุขมาก มันทำให้เราทบทวนถึงชีวิตที่เราต้องสู้และวิ่งหาความสุขที่แท้ของเรา การที่เราเองใช้เวลาสู้นานกว่าจะได้รู้จักตัวเอง เราอายุเท่าเด็กคนนั้นเองตอนเราโดนข่มขืน มันทำให้ทุกอย่างคลิกในสมองและช่วยทรายปล่อยวางมองข้ามความอบอุ่นที่เขาพยายามใช้เพื่อหลอกเราตั้งแต่เด็ก ทรายรู้แล้วว่ามันมีแต่ปีศาจที่ทำร้ายเด็กแบบที่ทรายโดนได้…ทรายต้องปกป้องตัวเองแล้วครับ

3/3 ความจริงของ ทราย สก๊อต : ปัจจุบัน พี่เลี้ยง “มีนา” ที่ทำร้ายเราถูกครอบครัวไล่ออกทรายก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ อีกไม่นานแม่เขาจ้าง “มีนา” กลับมาทำงานต่อและไล่เราออกจากบ้าน

ขอเอาช่วงท้ายมาแปะไว้ตรงนี่

“สิ่งที่ได้รับจากแม่คือความทรมานที่ไม่มีวันจบ มันทำให้ทรายเสียทั้งบ้านในสถานที่และในใจ มันทำให้ทรายไม่เหลือแรงเพื่อสู้เพื่อทะเลและคนอื่นแบบเต็ม เรากลับบ้านไม่ได้ ไม่มีวันได้เจอคนอื่นๆในบ้านที่เรารัก ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กถึงตอนนี้ทรายต้องผ่านเรื่องพี่เลี้ยงมาคนเดียวและขนาดตอนโตทรายยังต้องพาตัวเองไปสถานี่ตำรวจเพื่อจะแจ้งความเรื่องพี่เลี้ยงแต่ตำรวจตอบกลับว่าแม่เราต้องเป็นพยาน… นี่คือสิ่งที่ทรายพยายามเล่าและสื่อสารให้ทุกคน

ทรายไม่อยากต้องมีวันเกิดที่ไร้บ้านไร้ครอบครัวอีกครับ”

ทรายบอกพี่เลี้ยงว่าเราจำทุกอย่างได้เรื่องราวที่เขาทำร้ายทรายตอนเด็กๆได้ เขานั่งนิ่งๆ อีกสักพักเขา ยิ้มและบอกว่าเขาจำไม่ได้ว่าอะไรเกิดขึ้น แล้วเขาขอให้ทรายเล่าทบทวนหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น (ทรายรู้สึกโคตรแย่เหมือนเราต้องเปิดความทรมานของเราเพื่อให้เขาสะใจ ทั้งๆที่เขารู้ว่าเขาทำอะไร) ตอนทราบเล่าเสร็จเขาเงียบและอีก สักพักตอบว่า “ถ้าคนอื่นรู้เขาจะตกงาน” ทรายรู้สึกสงสารเขาเพราะเขาไม่มีเงินและเขาเคยวางตัวเป็นตัวแทนของแม่เลยทรายบอกเขาว่าเขาจะไม่โดนไล่ออก

..คืนนั้นตอนเรานอน ทรายรู้สึกว่าได้ปล่อยวางน้ำหนักของการกระทำของมีนา ความหมายและความรู้สึกที่เราให้กับคำว่าแม่ก็ถูก ปลดล็อกแม่ที่แท้จริง เช้าวันต่อมาทรายตื่นด้วยความชัดเจนว่า ยังไงเราจะต้องบอกแม่เพื่อจะไล่มีนาออก….เราจะปกป้องตัวเองจากปีศาจในวัยเด็กเรา

ทรายยืนคุยกับแม่บนหาดทรายจำได้เลยว่าตอนเห็นทะเลวันนั้นทรายไม่เคยเห็นทะเลที่สวยสง่าแบบนั้นมาก่อน ความสวยของทะเลช่วยให้ทรายมั่นใจว่าความเปลี่ยนแปลงใหม่มัน จะโอเค I will be okay … ตอนนั้นทรายรู้สึกกลัวว่าถ้าเราเล่าไปแล้วแต่แม่ไม่ยอมแก้ไขและมีนาอยู่ต่อ ทรายจะอยู่ยังไง… ตอนแม่เขาฟังเรื่องราวเสร็จเขาร้องไห้และบอกเราว่าขอโทษที่ปกป้องเราไม่ได้เขาถอนหายใจและบอกว่า “ตอนแรกฉันนึกว่าเธอจะมาบอกว่าเธอเป็นโรค เอดส์ด้วยซ้ำ” และเขาหัวเราะ…

ทรายบอกแม่ว่าอยากให้ญาติๆทุกคนที่อยู่ใกล้เรารู้ ทรายกลัวว่าแม่เขาจะไม่ทำอะไร อย่างน้อยเราหวังว่าคนอื่นในครอบครัวจะช่วยปกป้องเราได้ สุดท้ายแม่ก็เป็นคนให้เราไปเล่าให้คนอื่นฟังว่าเกิดอะไรขึ้น …..แม่เขาไม่ยอมที่จะไล่พี่เลี้ยงออกวันนั้นตอนนั้นเลย เขาบอกว่ามีธุระที่กรุงเทพ ทราย ขออย่าให้เขาทิ้งเราไปช่วงนี้ เพราะทรายรู้สึกไม่ปลอดภัยในบ้านเขาตอบว่ามี “พนักงานอยู่รอบข้างเยอะแยะไม่เป็นไรหรอก” …. ทรายก็อยู่ต่อในบ้าน แต่โชคดีญาติๆกับพนักงานคอยอยู่ด้วยกันไม่ให้มีนาเข้าใกล้ทราย

ตอนแม่ทรายกลับมาน้าแท้ของทราย (น้องสาวแม่) กดดันให้แม่ไล่พี่เลี้ยงคนนี่ออก

น้าทรายคนนี้เป็นคนที่ซื้อตุ๊กตาบาร์บี้ตัวแรกให้ทรายตอนเด็ก ระหว่างที่เราทานข้าวเย็นนั้นเขาลุกขึ้นและเดินมากอดเรา ความอบอุ่นและความขอโทษที่สื่อออกมาจากกอดสำหรับเรื่องที่ผ่านมาทำให้ทรายร้องไห้

หลังจากมีนาโดนไล่ออกทรายรู้สึกเหมือนตัวเราชีวิตเราเปลี่ยนไป เหมือนทรายปลอดภัยและสามารถเป็นตัวเองได้

ทรายได้ความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวจริงจังในช่วงนั้น ใจเรารู้สึกขอบคุณทะเลมากๆ รู้สึกดีที่เรามีหลายคนรอบข้างที่รักและเป็นห่วงเราทุกวัน วันๆทรายจะว่ายน้ำออกกำลังกายวันละสองครั้งและทำกิจกรรมเก็บขยะตาม หาด ตามเขา นี่คือในความสุขของทรายที่ได้อยู่ในความรักและเราได้รักและเทคแคร์คนรอบข้างกับทะเล

ทรายชวนพนักงานจากที่บ้าน สองสามคนมาทำกิจกรรมมาปีนเขามาเล่นน้ำเขาคือเพื่อนเรา เราจะไปเที่ยวกันตามต่างจังหวัด กระบี่ ภูเก็ต มันเปิดให้ทรายเห็นถึงความสวยของไทยในมิติใหม่และได้แบ่งประสบการณ์พวกนี้ให้เพื่อนๆเรา

ทรายไปเจอหาดชุมชนที่กระบี่ที่มีขยะเยอะแยะหาดนี่ไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะจากจังหวัดเพราะมันไม่ใช่ที่ๆโรงแรมใหญ่อยู่ๆกัน ทรายรู้สึกแย่และอยากช่วยเด็กๆในพื้นที่ได้แรงใจและคุณภาพหาดที่ดีกว่านี่ ทรายเข้าไปในชวนเด็กๆจากโรงเรียนในชุมชนมาทำกิจกรรมเก็บขยะยาว 3km ด้วยกัน เพราะทรายพึ่งได้ชีวิตใหม่ของทราย ทรายไม่ได้มั่นใจในตัวเองเสมอ เพื่อนสนิทเราจะคอยบอกเราว่า “ทรายคนอื่นๆในโลกเขาไม่ได้เหมือนแม่หรือมีนาหมดมันพลังความรักความอบอุ่นที่ทรายมีสามารถช่วยคนอื่นๆได้เยอะ” ทรายก็ไม่ได้เข้าใจในความหมายของเพื่อนตอนแรกๆ….

ในงานรอบนึงช่วงกลางวันแดดร้อนมากและจำนวนขยะบนหาดก็มหาศาล เด็กๆและครูทุกคนดู ท้อแท้เขาไม่อยากเก็บขยะแล้ว ทรายพยายามจูงใจเขามาช่วยกันต่อแต่เขาไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ทรายเลยนึกถึงใจของเราที่อยากมาเพราะต้องการที่จะคืนหาดสะอาดให้กับเด็กๆ ทรายเดินไปหยิบถุงดำและเดินเก็บขยะต่อเอง อีกสักพักเด็กๆสามสีคนก็วิ่งมาช่วยทรายเก็บ และตอนสุดท้ายทุกคนในงานก็ออกมาเดินเก็บขยะตามเรา.. ทรายถามน้องๆในกลุ่มว่าเหนื่อยมั้ย อยากพักมั้ย เขาตอบกลับทรายว่า”ถ้าพี่ทรายไม่เหนื่อยผมก็ไม่เหนื่อย”

ในเวลาไม่กี่เดือนทราย ได้ทำงานอนุรักษ์และได้ลง National Geographic ฉบับไทยครั้งแรกในชีวิต แล้วก็ทรายได้ไปรับหมามาเลี้ยงจากศูนย์หมากำพร้า หมาตัวนี่ทรายตั้งแต่ชื่อว่า เดลต้า และเขาติดทรายมาก ทรายว่ายน้ำไปไหนยาวแต่ไหนเขาจะวิ่งตามบนหาดหลายๆชม จนกว่าเราว่ายเสร็จเขาคือหมาตัวแรกของเรา…ทุกคนในครอบครัวยินดีที่เราเจอ จุดมุ่งหมายและ Gift ของเรา ทรายเองดีใจที่สิ่งที่ทรายรักและสิ่งที่ช่วยทรายฮีลคือสิ่งเดียวกัน แม้ว่าเพือนๆญาติๆเขาชมเราและเราได้มีความสำเร็จแม่ทรายไม่เคยชมทรายสักครั้งเขาเรียกงานที่ทรายทำว่า “สกปรก”

เราจะกลับมาบ้านที่หัวหินเพื่อพักผ่อน ตอนเรากำลังเดินทางไปทำงานอนุรักษ์ต่อที่กระบี่ ทีมทรายทักมาหาเราและบอกเราว่าคุณแม่สั่งให้ทรายและทีมงานกลับไปขอโทษเขา แม่สั่งมาว่า “ก่อนที่ทรายจะไปทำงานอนุรักษ์ ทรายจะต้องมาขออนุญาตเขาเพื่อจะออกจากบ้าน” และ “ทรายต้องไปกอดลาเขาเพื่อจะขอให้ทีมงาน ไปช่วยดำเนินงาน (พนักงานเพื่อนเราไม่ใช่พนักงานของแม่แต่เป็นพนักงานของสิงห์) เขาขู่ต่อว่าถ้าทรายไม่ขออนุญาตเขารอบหน้าเขาจะลงโทษกับพนักงานทรายแทนที่จะโทษทราย แต่ทรายรู้สึกท้อแท้มากทรายทำไมเขาต้องพยายามทำร้ายงานดีๆที่เราทำ

2021 ทรายถูกแม่ไล่ออกจากบ้าน

แม้ว่าบ้านที่หัวหินเริ่มไม่รู้สึกปลอดภัยและเราพยายามไปต่างจังหวัดมากขึ้น ทรายก็ยังได้อยู่กับป้าๆพนักงานและเจอครอบครัวบางส่วน แต่ช่วงกลางคืนหม้อไฟห้องผมระเบิดและไฟที่บ้านดับ เช้าวันต่อมาแม่เขาโทรมาตะโกนใส่เราว่าเราโง่ที่เปิดใช้แอร์และเรามีเจตนาที่จะจุดไฟ เผาบ้าน เขาบอกว่าเขาจะไล่ทรายออกจากบ้าน ทรายขอให้เขาหยุดระบายความโกรธใส่ตัวเรา ทรายพึ่งตื่นและยังไม่ได้ทันปลดล็อกประตูห้องนอนแม่เขาก็วิ่งมาที่ห้องผมและทุบกระจกด้วยความรุนแรงแบบต่อเนื่อง ระหว่างที่เขาทุบกระจกเขาโทรเข้าโทรศัพท์ในมือทรายแบบรัวๆเขาทุบประมาณหนึ่งนาทีเสร็จอีกสักพักเขาย้ายมาทุบประตูแทน ผมอายุ 25 ตอนนั้นแต่หัวใจเราเต้นเร็วมากๆและเราแอบอยู่ในมุมเตียง เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ได้ล็อกประตูไว้ ทรายนึกได้แค่อัดคลิปที่เขาทุบประตู

แต่ก็อัดกับโทรศัพท์ได้แค่แป๊บนึงเพราะเขาก็โทรเข้าอยู่เรื่อยๆ หลังจากที่เขาหยุดทรายรีบโทรไปหาญาติๆกับน้าและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น น้าทรายบอกให้ทรายย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านน้า ทรายทุกข์มากที่ต้องย้ายออกจากบ้านเราจากคนและทะเลที่เรารักเพื่อจะได้มีที่ๆปลอดภัย…

ปลายปี 2021 ญาติๆผมเอาภาพ IG ของแม่มาให้ดู และทรายเห็นด้วยความช็อกว่าตั้งแต่ทรายถูกไล่ออกจากบ้านอีกไม่นาน แม่ทรายได้จ้างพี่เลี้ยงที่ชื่อมีนา กลับมาทำงานให้เขา น้าผมโทรไปถาม “แม่” เขาว่าทำไมเขาทำแบบนี้แม่เขาบอกว่า “เขาเป็นพนักงานที่ดีและสามารถเดินทางไปทำบ้านที่ต่างประเทศได้” และผมเห็นในแววตาน้าว่า น้าทรายก็เงียบทรายรู้ด้วยนิสัยของคนในครอบครัวนี่ มันหมดความหวังที่จะเปลี่ยนอะไรแล้วตอนนี่ ทรายเลยย้ายออกจากบ้านน้า เพราะอยู่ไปทรายก็รู้สึกเหมือนว่าเราไม่ได้สำคัญพอที่จะให้เขาลุกขึ้นมาเป็นเสียงให้เรา ทรายมั่นใจว่าทรายจะไม่มีวันได้กลับบ้านที่หัวหิน… ในความหวังสุดท้ายของทรายเพื่อจะขอความช่วยเหลือ ทรายได้ไปสถานีตำรวจกับเพื่อนอีกคนนึงเพื่อพยายามแจ้งความเรื่องการที่พี่เลี้ยงข่มขืนเราและเราไม่มีที่ไป แต่ตำรวจตอบว่า ถ้าญาติๆเราพยานให้แม่เราก็จะต้องเป็นพยาน…ต่อไปในสองปีที่ผ่านมาทรายไม่ได้รับ สุขสันต์วันเกิดจากพวกเขาเลยครับ ตอนที่ทราย ป่วยโควิดไม่มีใครทักหา… แม้ว่าทุกคนรู้ว่ามันมีอะไรที่ไม่โอเคที่เกิดขึ้น ไม่มีใครในยื่นมือออกมาช่วยเรา ระหว่างที่ผมกำลังสำลักน้ำ เขายังคงไปนั่งทานข้าวไปเที่ยวไปซื้อของกันต่อ ต้นปีนี่ ช่วงของงานสวดของลุงทราย ทรายยังไม่สามารถไปได้เพราะ มีนาเขาอยู่ในบ้านที่จัดงาน สวด

ทรายจะไม่มีวันเข้าใจว่าทำไมแม่เขาทำแบบนั้นแต่ทรายอธิบายจากหัวใจเราได้ว่ามันรู้สึกยังไง มันเหมือนเขาเอานรกที่เราเจอมาและรอดด้วยการฮีลจากตัวเองและคนอื่นๆที่รักทรายมา ขว้างทิ้งเหมือนเขาอยากฆ่าหัวใจเราทิ้ง การกระทำของเขาสื่อให้เราว่าเราจะว่าเราไม่สมควรที่จะได้ฮีลตัวเองและเราสมควรได้รับเรื่องโหดร้าย ในการกระทำของเขาที่จ้างมีนากลับคืนมา แม่ทรายทำร้ายทรายมากกว่ามีนาสามารถทำได้หลายเท่า

สองปีผ่านที่ทรายไม่ได้อยู่กับหมาของเรา ไม่ได้อยู่กับป้าๆน้าที่เคยช่วยเลี้ยงเรามา ทรายเจ็บปวดขนาดไหนทรายก็ยังไม่ท้อต่อเรื่องงาน ทรายได้ ทำงานดำน้ำกับอุทยานยาวสีเดือน ทรายได้ทำหนังสั้น MERMAN ..ทำกิจกรรมว่ายน้ำกับไปกู้อวนหนักเป็นตันที่ภูเก็ต ล่าสุดทรายว่ายข้ามอันดามัน 70km เราจัดงานกันเองหมดครับไม่ได้มีใครมาสนับสนุน เงินที่ทรายใช้ซื้อข้าวทานเป็นเงินก้อนเดียวกันที่ทรายใช้ทำงานอนุรักษ์ทะเลไทย…ถ้ายังมีเงินซื้อมือวันต่อไปเราก็ยังทำงานอนุรักษ์ต่อ

ทรายไม่เคยท้อเพราะรู้ว่ามีอีกหลายคนอีกหลายชีวิตใต้ทะเลที่ทรายช่วยได้ ทรายให้จนหมดแต่ไม่ได้เติมเต็มกลับคืนมา ทรายไม่โอเคไม่อยากวิ่งหนีกับเรื่องนี่ ต่อไปครับ

ตอนทรายเจอผู้ใหญ่คนอื่นๆจากครอบครัวในตระกูลทรายทุกคนมีครอบครัวที่ดูใกล้ชิดที่อบอุ่น มันทำให้ทรายคิดถึงคุณตามากๆ ผู้ใหญ่เขาจะถามทรายบ่อยขึ้น ว่าเราอยู่ไหนเราไปไหนมา ทำไมไม่เจอทรายเลย ทรายจุกทรายอยากบอกเขาทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาก แต่เขาจะเข้าใจไหม ถ้าตาเราอยู่ทรายอยากบอกตาว่าเรากลับบ้านไม่ได้เพราะมันไม่ปลอดภัยว่า รถทรายตอนนี่เป็นบ้านสำรองที่คอยเก็บถั่วรางวัลแล้วข้าวของข้างเสื้อผ้าที่ย้ายออกจากบ้าน

ทรายพยายามเอาแรงใจจากทั้งตัว ใส่เข้าไปในบทความนี่ ให้คนเขาเข้าใจเราและจะได้เราปล่อยความหลับที่มันทรมานใจ วันเกิดต่อๆไปในอนาคตทรายจะไม่ร้องไห้แล้วครับ

ทรายคิดถึงตาและขอบคุณทุกคนที่ช่วยฟังและให้ความรักที่ทรายไม่เคยได้รับครับ

ซึ่งหลายคนที่เข้ามาเห็นข้อความนี้ ต่างก็เข้ามาให้กำลังใจ ทรายกันอย่างมากมาย

คลิปอีจันแนะนำ
เสกโลโซ มอบเพลง ก้าวให้ไกลกว่าเดิม เป็นลิขสิทธิ์คนไทย