ปลาคาร์ฟ เชิญยิ้ม เปิดใจหลังเจอพิษ โควิด งานหดเงินหาย จำใจคืนบ้านคืนรถ

งานหดเงินหาย ปลาคาร์ฟ เชิญยิ้ม เปิดใจหลังเจอพิษ โควิด กว่า 2 ปี เผยต้องคืนบ้านคืนรถ และขอเคลียร์ประเด็นเรื่องลูกชาย

งานนี้มีฮาไม่ออก หลังเจอสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด19 นานกว่า 2 ปี ล่าสุดนักแสดงหนุ่มสายตลกหน้านิ่งอย่าง ปลาคาร์ฟ เชิญยิ้ม ได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการ คุยแซ่บโชว์ เผยเคลียดหนัก งานหดเงินหายจนต้องคืนบ้านคืนรถ พร้อมขอเคลียร์ข่าวซุกลูก

โดย ปลาคาร์ฟ ก็ได้เปิดใจถึงประเด็นต่างๆในบทสัมภาษณ์ดังนี้

“โดนพิษ โควิด หนักมาก

ปลาคาร์ฟ : ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก ผมว่าโดนกันทุกคน แต่ใครจะหนักมากกว่ากัน ใครมีทุนเยอะก็อยู่ได้นานหน่อย คือเราก็สู้มาตั้งแต่คาเฟ่ปิดมาได้ 10 ปี คือตอนนั้นเราไม่มีงานคาเฟ่เราก็ยังมีงานที่ต่างจังหวัดเดือนหนึ่งก็ 2-3 งาน มีงานขายเครื่องดนตรีไทยคือเราก็เป็นเหมือนนายหน้ารับเครื่องดนตรีมาขายต่ออีกที แต่หลังๆ เลิกแล้วเพราะร้านทำเครื่องดนตรีเขาก็ทำขายเองผ่านเฟสบุ๊ค คนก็ไปซื้อตรงเพราะได้ราคาถูกกว่า และก็รับงานทำขวัญนาค จนปี 2562 งานก็เริ่มซา ผมก็พยายามกัดฟันสู้ผ่อนบ้านผ่อนรถ จนมาระยะหลังๆ เจอพิษ โควิด เงินเราเริ่มร่อยหรอ ขายของก็ไม่ค่อยได้ งานตลกก็ไม่มี วันหนึ่งมีเสียงโทรศัพท์ดังมาหนึ่งสายปรากฎว่าเขาโทรมาแจ้งว่าเราค้างค่ารถ 2 งวด หลังจากนั้นคุณแจ๊ค ธนพล ก็โทรมาชวนไปอยู่วงดนตรีช่วงปลายปี 2562 เพราะเขาทำวงมี นักดนตรีไปพร้อมเลย ในทีมมี 12 คน ก็รับงานกัน ปรากฎว่า โควิดมา งานที่รับไว้ก็หยุด พอโควิดระรอก 2 ระรอก 3 มา งานก็หยุดนิ่ง แต่เรายังมีภาระผ่อนบ้านผ่อนรถ เราก็ไม่ไหว เราก็เลยต้องคืนเขาตอนนี้ก็ไม่มีทั้งบ้าน ทั้งรถ

แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน

ปลาคาร์ฟ : ผมไปอยู่บ้านพี่สาวแถวบางบัวทอง คือพี่สาวเขาติดป้ายขายบ้านแล้วไปกลับไปอยู่ต่างจังหวัด คือเขาปิดป้ายขายบ้านเป็นปีก็ไม่มีใครมาซื้อ เพราะว่าไม่มีกำลัง ไม่มีตังค์ เขาก็เลยให้เราไปอยู่บ้านเขาก่อน คืออยู่ฟรีเราก็จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟปกติ แต่ว่าที่ผ่านมาเราไม่มีรายรับ เรามีแต่รายจ่าย เราก็รับสภาพไม่ไหว ผมก็ตั้งใจจะสู้แค่สิ้นปีนี้ ถ้าสิ้นปีนี้ไม่มีอะไรดีขึ้น ผมก็จะกลับบ้าน ที่ลพบุรี

กับข่าวที่ออกมาเป็นอย่างไร

ปลาคาร์ฟ : คือก่อนหน้านี้มีนักข่าวโทรเข้ามาว่าขอคุยได้ไหม ผมก็ตกลง พอเขามาเห็นสภาพความเป็นอยู่ของเรา เขาก็ถามก็คุยกันเรื่องชีวิตตอนนี้ เราก็พูดเรื่องจริงเรื่องบ้านเรื่องรถตั้งแต่คาเฟ่ปิดจนปัจจุบันเรื่องรถที่เราต้องคืนเพราะเราไม่ไหว คือเราก็พูดความจริง เราไม่ได้คิดอะไรเพราะเราจากบ้านมาเราก็มาแต่ตัว แล้วเราไม่คิดว่าเขาจะเอาสิ่งที่เราพูดไปเขียนเป็นข่าว มันก็เลยเป็นกระแสขึ้นมา ถามว่าเราโกรธไหมที่เขาเอาไปเขียนเป็นข่าว ไม่โกรธเลยเพราะเราพูดเรื่องจริง

วันนั้นที่ตอบนักข่าวว่าเหลือเงินไม่ถึงพัน วันนี้เราเหลือถึงพันไหม

ปลาคาร์ฟ : ตอนนี้ก็มีคนที่ดูข่าวที่เข้ามาช่วยเหลือ แต่มีดารา ที่เราไม่เคยร่วมงานกับเขาเลย เขาโทรมาเป็นคนแรกบอกว่า พี่นี่ นุ๊ก นะ ( สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา) เขาก็ถามว่าเราเป็นอย่างไร เขาบอกว่าอยากช่วย คือเขาบอกเราว่าเราเป็นตลกที่เขาชื่นชอบ อยากช่วยเรา

(พิธีกรต่อสายตรงคุยกับ นุ๊ก สุทธิดา )

ทำไมตอนนั้นถึงช่วยพี่ปลาคาร์ฟ

นุ๊ก : คือเขาเป็นคนที่เราชื่นชอบ ที่ผ่านมาเราก็โอกาสได้ช่วยเหลือหลายๆ ท่าน แต่เราไม่ได้โพสต์หรือบอกใคร ของพี่ ปลาคาร์ฟ เป็นกรณีพิเศษมากๆ เพราะไม่ใช่แค่ นุ๊ก ให้พี่ ปลาคาร์ฟ แต่พี่เขาก็ให้ นุ๊ก กลับ คือ นุ๊ก เห็นความเป็นนักสู้ของเขาเวลาเห็นสัมภาษณ์ เราเห็นว่าเขามีทั้งความเป็นนักสู้ มีความสมถะ และมีศักดิ์ศรี ซึ่งตอนที่ นุ๊ก โทรไปนุ๊ก คิดนานเหมือนกันว่าเราจะพูดอย่างไร เพราะค่อนข้างลำบากใจกับการที่จะคุยกับเขา เพราะเราเห็นความเป็นนักสู้ ความมีศักดิ์ศรีของเขา แล้วเขาก็พูดทิ้งท้ายว่าเขาไม่ได้รับบริจาค เราก็ต้องคิดว่าเราจะพูดอย่างไรให้เขารู้สึกดี

ตอนที่นุ๊กโทรไปเรารู้สึกอย่างไร

ปลาคาร์ฟ : ตอนนั้นเรารู้สึกว่าทุกคนลำบากหมด ไม่อยากรบกวนใคร เขาบอกว่าให้เอาเลขบัญชีมาก่อนค่อยว่ากัน ผมก็ให้เลขบัญชีเขา เขาก็ให้เยอะ ผมบอกเขาว่ามันเยอะไป ผมจะคืนเขา

ทำบ่อยไหม

นุ๊ก : ก็เกือบทุกคนที่ออกมา แต่เรามองว่าเป็นเงินเล็กน้อยไม่ต้องออกสื่ออะไร

แล้วตอนนี้โอเคหรือยังเรื่องบ้าน

นุ๊ก : ก็ต้องสู้กันต่อไป นุ๊ก เห็นพี่ ปลาคาร์ฟ แล้ว นุ๊ก รู้สึกเห็นตัวเอง นุ๊ก รู้ว่าพี่ ปลาคาร์ฟ ก็เป็นนักสู้คนหนึ่ง อย่างทุกวันนี้ที่เรามีกินมีใช้ก็เพราะเราหาด้วยตัวเอง แน่นอนว่าบางครั้งเราอาจจะมีเหนื่อยบ้างอะไรบ้าง และก็ขึ้นอยู่กับจังหวะชีวิตของคนเรา

อยากบอกอะไรกับคุณ นุ๊ก

ปลาคาร์ฟ : คนที่ช่วยเราตอนที่เราลำบาก เราก็จะจดจำไปชั่วชีวิต ซึ่งไม่ได้มีแค่น้อง นุ๊ก คนเดียว แต่ยังมีเพื่อนๆ ที่เป็นห่วงเราก็ต้องขอบคุณน้อง นุ๊ก ตรงนี้ ถ้าชีวิตผมร่ำรวยเมื่อไหร่ผมจะไปคาระวะถึงบ้านเลย

นุ๊ก : ก็ต้องขอบคุณพี่ ปลาคาร์ฟ มาก เพราะเวลาที่เราดูพี่เราก็มีแรงที่จะต่อสู้ต่อไป และใช้ชีวิต อย่างสมถะเรียบง่าย ในสไตล์แบบพี่เหมือนกัน

ครั้งก่อนที่พี่ ปลาคาร์ฟ มา มากับคุณบี แต่วันนี้มาคนเดียวเกิดอะไรขึ้น

ปลาคาร์ฟ : ก็ต่างคนต่างทำงาน ผมก็ไปอยู่จันทบุรีบ้าง ไปช่วยหลานขายทุเรียนบ้างช่วงงานไม่มี แต่คนไม่เคยทำ เลือกไม่เป็น ทำไม่เป็นก็ขาดทุนเยอะ เขาจะจ้างคนที่เคาะทุเรียนวันละ 2000 ส่วนที่วันนี้ที่เขาไม่มาเพราะเขาไปขายทุเรียน เราก็ยังมีคุยกันบ้างแต่ต้องแยกกันอยู่ ถามว่าห่างกันแล้วระหองระแหงกันไหม ไม่ค่อยมีนะ แต่ก็จะมีคนไปบอกเขาว่าอย่าไปคบตลกเพราะตลกมีเมียเยอะ

แล้วพี่บีรับรู้เรื่องนี้นานหรือยัง

ปลาคาร์ฟ : ก็มีมาเรื่อยๆ แต่พอเขาไปฟังอะไรมาเขาก็จะมาถามเราบางครั้งเวลาไปทำงานต่างจังหวัด หลังเวทีก็จะมีนักร้อง เขาก็จะขอถ่ายรูปกับเรา แล้วคนที่มาขอถ่ายก็เอาไปโพสต์ แต่คนที่อยู่ด้วยกันเขาก็ต้องฟังเราอย่าไปฟังคนอื่น เราก็คิดว่าเราไม่ใช่คนเจ้าชู้ เวลาเราชอบใครเราก็ชอบอยู่คนเดียว คบใครก็คบทีละคน แต่ตอนนี้เราก็ห่างๆ กัน ต่างคนต่างทำงาน เขาก็เปิดบุฟเฟต์ทุเรียน ถามว่าไม่ได้คุยกันนานแค่ไหนแล้วก็หลายเดือนแล้ว

ถ้าคุณบีดูอยู่อยากบอกอะไรกับคุณบี

ปลาคาร์ฟ : ก็อยากจะบอกว่าผมก็ยังเหมือนเดิม ยังปกติหน้าตา จิตใจก็ยังเหมือนเดิม แต่เงินไม่เหมือนเดิม เพราะการงานเราไม่ค่อยดี ถามว่าคิดถึงเขาบ้างไหม ก็มีบ้าง กลัวว่าจะเอาเขามาลำบาก เพราะอยู่แล้วละบากมันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้

สรุปสถานะของเรากับคุณบีคือ

ปลาคาร์ฟ : เป็นเพื่อนกันไปก่อน ไว้ดีเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน

มีข่าวว่าถ้าไม่มี โควิด จะขอคุณบีแต่งงาน

ปลาคาร์ฟ : ใช่ คือตอนนั้นผมมีเงินอยู่พอประมาณ เราก็ไม่ได้คิดอะไร เราก็ไปลงทุนเครื่องดนตรีหมดเลย พอ โควิด มา เงินก็ไปจมตรงนั้นหมด ที่ผ่านมาเราก็เคยคุยเรื่องนี้กันอยู่ คือถ้าพ้น โควิด แล้วเรามีเงินงานแต่งกับคุณบีก็ยังมีอยู่เพราะเราตั้งเป้าไว้

อยากบอกอะไรกับคนที่มาเม้าท์เรา

ปลาคาร์ฟ : อยากถามคนที่มาเม้าท์ว่าไม่มีงานทำกันหรือไง ว่างกันนักเหรอ ไปหางานทำกันบ้างนะ

จริงไหมที่ ปลาคาร์ฟ มีลูกแล้ว

ปลาคาร์ฟ : ผมมีจริง มีลูกชายอายุประมาณ 6 ขวบ ตอนนี้เขาอยู่กับแม่เขา ก็มีปัญหากันก็แยกกัน เราก็บอกว่า ถ้ามีปัญหากันเราขอลูกมาอยู่กับเราได้ไหม เพราะพี่สาวชอบเด็กผู้ชายเขาก็บอกว่าจะเลี้ยงเอง แต่เขาไม่ให้ พี่สาวก็เข้าใจเพราะแม่ลูกเขาก็ผูกพันธ์ เราก็ยังติดต่อกันนะ ยามมีเงินเราก็ไปหากัน แต่ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้ไปเพราะเราไม่มีตังค์ เราก็อยากเจอ

แล้วเรื่องลูกคุณบีรู้ไหม

ปลาคาร์ฟ : รู้ เพราะบีบอกเราว่าถ้าคิดจะเป็นแฟนอย่าโกหกกัน มีอะไรก็ให้บอกมาตรงๆ เพราะเดี๋ยวมีปัญหาทีหลัง ผมก็เลยบอกเขาไปว่าเรามีลูกแล้ว แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขาก็โอเค

ปกติเจอลูกปีละกี่ครั้ง

ปลาคาร์ฟ : ผมไปอาทิตย์ละครั้ง ก็ไปหาแล้วก็กลับ แต่เขาไม่ได้อยากได้อะไรจากเราหรอกเพราะความเป็นอยู่เขาดีอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องมีน้ำใจ มีมากก็ให้มาก มีน้อยก็ให้น้อย ลูกเขาติดแม่ เวลาเราไปหาต้องมีของเล่นไปล่อ ไม่อย่างนั้นเขาไม่ให้อุ้มให้กอดหรอก

ถ้าวันหนึ่งลูกโตแล้ว แล้วมาเห็นเทปนี้เราอยากจะบอกอะไรกับลูก

ปลาคาร์ฟ : ผมรักลูกมาก แต่เหมือนเรามีกรรมเราก็เลยไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทุกอย่างมันเป็นกรรม มันถูกลิขิตมาแล้ว แต่วันข้างหน้าก็ไม่แน่ ลูกอาจจะมาอยู่กับเราก็ได้ ถ้าเราไม่กลับลพบุรีซะก่อน คือทุกคนก็ต้องรักลูก

ต่อไปถ้าได้แต่งกับคุณบีอยากมีลูกอีกไหม

ปลาคาร์ฟ : ก็อยากมี แต่เรากกลัวมีแล้วลูกจะเอ๋อ เพราะเราก็อายุเยอะแล้ว แต่จริงๆ แล้วผมไม่อยากเอาใครมาลำบากกับเรา เราตัวคนเดียวตอนนี้ก็อยู่คนเดียวไปก่อน

เรียกได้ว่าพอมาทราบเรื่องราวแบบนี้แล้วก็น่าใจหายเหมือนกันนะคะแอดว่า ต่างคนก็ต่างเจอกับสถานการณ์เลวร้ายที่ไม่มีใครอยากจะให้เกิดแบบนี้ เอาเป็นว่า แอดขอเป็นกำลังใจให้คุณ ปลาคาร์ฟ และทุกๆคนผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้นะคะ สู้ๆค่ะ