รวบขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นคนพาคนไทยข้ามชายแดน

ตำรวจ PCT 5 ร่วมกับชุดปฏิบัติการบูรพา 491 เปิดปฏิบัติการตัดวงจรขบวนการส่งคนไทยข้ามแดน ไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์

แก๊งคอลเซ็นเตอร์แพร่ระบาดอย่างหนักในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็เรียกได้ว่าตอนนี้กำลังทำสงครามกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปราบได้ไม่หมด เกิดจากขบวนการฯ ยังหาคนไทยเข้าไปทำงานด้วยได้เรื่อยๆ จากการสืบสวนของ ศปอส.ตร. (PCT) เก็บข้อมูลจากเหยื่อที่ได้ช่วยเหลือกลับมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบว่ามีขบวนการหนึ่งใช้การหลอกลวงด้วยการโพสต์ข้อความเชิญชวนตามกลุ่มจัดหางานในเฟซบุ๊ก โดยมักล่อลวงเหยื่อด้วย ค่าจ้างที่สูง มีสวัสดิการต่างๆ และมักหลอกว่าเป็นงานแอดมิน หรือเป็นงานที่ไม่ผิดกฎหมาย หากมีผู้หลงเชื่อตัดสินใจสมัครงานกับขบวนการนี้แล้ว ขบวนการนี้จะหว่านล้อมให้อยากไปทำงาน และจะดำเนินการให้อย่างเบ็ดเสร็จตั้งแต่การเดินทาง การพาข้ามประเทศทางช่องทางธรรมชาติอย่างผิดกฎหมาย จนกระทั่งเดินทางไปถึงที่ทำการในประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อไปถึงแล้วกลับเป็นงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และตกอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถเรียกร้องหรือขัดขืนได้ หากใครไม่เต็มใจทำหรือมีความคิดต่อต้าน จะถูกลงโทษในรูปแบบต่างๆ เช่น ถูกกักขัง ถูกทำร้ายร่างกาย ให้อดอาหาร ถูกช็อตไฟฟ้า ถูกขายต่อไปยังคอลเซ็นเตอร์แก๊งอื่นๆ ฯลฯ

ตำรวจ PCT ชุด 5 จึงได้ปฏิบัติการแทรกซึมเข้าสู่กระบวนหลอกลวงนี้ย้อนกลับเข้าไปสืบสวนจนได้พยานหลักฐานยืนยันได้ว่ามีผู้ร่วมขบวนการนี้ 3 คน ที่อยู่ในประเทศไทย ในพื้นที่ จ.สระแก้ว คอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุนหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวไต้หวันในประเทศกัมพูชา ในการนำพาคนไทยข้ามแดนไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยขบวนการนี้ดำเนินการลักลอบพาคนไทยข้ามแดนไปทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศกัมพูชา มาแล้วไม่ต่ำกว่า 100 คน

โดยเมื่อวานนี้(28 ก.ค. 65) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร (PCT) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 นำทีม ตำรวจ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ร่วมกับ กก.ปพ.บก.สส.ภ.2 หรือ “บูรพา 491” เปิดปฏิบัติการตัดวงจรขบวนการส่งคนไทยข้ามแดนไปทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยใช้แผนการสืบอย่างใกล้ชิด โดยทีมบูรพา 491 ได้ขับรถไล่ติดตามรถคนร้ายและได้ใช้ยุทธวิธีคาร์บล็อก หยุดรถคนร้ายขณะกำลังพาคนไทยที่ถูกหลอกไปยังช่องทางธรรมชาติในพื้นที่ อ.โคกสูง จ.สระแก้ว

จากการตรวจค้นพบ นายอรรถชัย มีโพธิ์ อายุ 30 ปี ภูมิลำเนา จ.สระแก้ว เป็นผู้ขับขี่รถกระบะ อีซูสุ สีขาว หมายเลขทะเบียน บบ 7208 สระแก้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงทำการจับกุมตัวทันที และแจ้งข้อหาว่า ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวง พาหรือส่งคนออกไปนอกราชอาณาจักร จับกุมตัวได้ที่ ถนน สุวรรณศร มุ่งหน้าไปทางชายแดนไทย-กัมพูชา ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พร้อมยึดรถที่ใช้ในการกระทำความผิดไว้เป็นของกลางในคดี

จากการตรวจสอบประวัติต้องโทษของ นายอรรถชัย มีโพธิ์ พบว่าเคยถูกดำเนินคดีมาแล้วดังนี้

– 15 ก.ค. 51 ถูกดำเนินคดีข้อหา เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ท้องที่ สภ.คลองลึก

– 14 เม.ย. 54 ถูกดำเนินคดีข้อหา ขับขี่รถยนต์สาธารณะ หรือ จยย.สาธารณะ แล้วเสพ เมาสุรา ของมึนเมา หรือ ขับรถในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ ท้องที่ สภ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว

– 17 พ.ค. 65 ถูกดำเนินคดีข้อหา ร่วมกันมั่วสุมในลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ หรือกระทำการอันเป็นการฉวยโอกาสซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนหรือกลั่นแกล้งเพื่อแพร่เชื้อโรค ณ ที่ ใดๆทั่วราชอาญาจักร, ร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในรา ท้องที่ สภ.คลองลึก จ.สระแก้ว

– 10 มิ.ย. 65 ถูกดำเนินคดีข้อหา นำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ท้องที่ สภ.คลองน้ำใส จ.สระแก้ว

ในชั้นจับกุม นายอรรถชัย มีโพธิ์ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า วันนี้ตนเองได้รับการประสานงานจากผู้ร่วมขบวนการที่อยู่ฝั่งประเทศกัมพูชา ให้มารับคนไทยพาข้ามไปประเทศกัมพูชา โดยตนเองจะพาไปข้ามทางช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นลำคลองเล็กๆเรียกกันว่า คลองบ้านตาโจ๊ย ใกล้กับวัดป่าหนองเอี่ยน โดยจะมีเรือพายพาข้ามแดนไปและจะมีคนจากประเทศกัมพูชามารับช่วงต่อ โดยยอมรับว่าตนเองรับประสานส่งไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบนี้หลายแก๊งแล้ว และรับจ้างเช่นนี้ตกเดือนละประมาณ 15-20 คน โดยจะได้รับค่าจ้าง 6,000 บาทต่อคน ล่าสุดตนเองเพิ่งถูกจับกุมและอยู่ในระหว่างการประกันตัวสู้คดี แต่ก็กลับมาทำอีกเพราะทำจนชินไม่รู้จะไปทำงานอะไร

และจากการขยายผลขบวนการดังกล่าวพบพยานหลักฐานความเชื่อมโยงซึ่งตำรวจ PCT ชุด 5 ได้รวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรปราการ ออกหมายจับไว้อีก 2 ราย คือ

1.น.ส.รุ่งฤดี อุดมดี อายุ 38 ปี ภูมิลำเนา จ.อุบลราชธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ จ.415/2565 ลงวันที่ 27 ก.ค. 65 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน

2. นายพงษ์ธนา พิมพา อายุ 36 ปี ภูมิลำเนา จ.สระแก้ว ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ จ.416/2565 ลงวันที่ 27 ก.ค. 65 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 / หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 5 เผยว่า ตนเป็นตัวแทนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งท่านให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะเป็นอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนไทยมากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้ใช้มาตราการที่หลากหลายทุกมิติในการทำสงครามกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมิตินี้เราจะตัดการลำเลียงคนข้ามไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเราได้ขยายผลจนทราบผู้ร่วมขบวนการนี้ทั้งหมดแล้ว เราได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับไว้แล้ว ขอเตือนประชาชนคนไทยที่ว่างงานอยู่ กำลังมองหางานตามเฟซบุ๊กเพจหางานต่างๆ หากเป็นงานที่ต้องไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่จะบอกว่าเป็นแอดมิน แต่เมื่อ walk-in ไปแล้วก็เป็นคอลเซ็นเตอร์ซะส่วนใหญ่ และเมื่อใดที่ไปเข้าร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว คุณจะกลับประเทศมาเยี่ยงอาชญากร ไม่ใช่เหยื่อ

คลิปแนะนำอีจัน
อันตราย! มือถือเปิดกล้องเอง