วันนี้(25 ส.ค. 65) ศาลอาญาพระโขนงนัดฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ คดีฆาตกรรมเสี่ยชูวงษ์ ที่มี พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ เป็นจำเลย โดยเริ่มการพิจารณาคดีตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 09.00 น. โดยมีนางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ พี่สาวของ นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษา
โดยศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยใช้ความเป็นเพื่อนสนิท ใช้รถไปรับผู้ตาย ชวนไปเล่นกอล์ฟทั้งที่ผู้ตายไม่อยากไป ใช้วิธีพูดจาหว่านล้อมทำให้ผู้ตายปฏิเสธไม่ได้ เเละได้บอกให้คนขับรถผู้ตายให้กลับไปก่อน หวังกีดกั้นเพื่อที่จะไปส่งผู้ตายที่บ้าน เป็นโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
ลักษณะบาดแผล ลงมือคนเดียวเป็นไปได้ยาก จำเลยจึงร่วมกับพวกเพื่อฆ่า วิธีการฆ่ามีอาวุธของแข็ง มีวัตถุรัดคอ ทำให้กระดูกคอข้อที่ 6 – 7 หัก สภาพรอยช้ำบวมเกิดจากการกระแทก การขาดอากาศหายใจ เป็นสาเหตุของการตาย ไม่สอดคล้องกับที่เกิดเหตุ ที่มีรอยเลือดอยู่บริเวณหน้ารถ เป็นข้อพิรุธสงสัย เเละสภาพบาดแผลไม่ได้เกิดจากขอบทางตามที่จำเลยอ้างอุทธรณ์ ดังนั้นอุทธรณ์จำเลยไม่สามารถหักล้างได้ อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ จำเลย พิเคราะห์ว่า การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการร่วมกันกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิด เพื่อปกปิดความผิดของตน หรือเพื่อเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทำไว้ จำเลยกระทำความผิดด้วยความโลภอยากได้ในทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นอย่างมาก โดยอาศัยโอกาสและความไว้เนื้อเชื่อใจในความเป็นเพื่อนสนิทระหว่างจำเลยกับผู้ตาย และคบคิดกับพวกด้วยการวางแผนและลงมือฆ่าผู้ตายจากนั้นปกปิดการกระทำโดยสร้างเรื่องและอำพรางคดีว่าสาเหตุการตายของผู้ตายเกิดจากอุบัติเหตุ เมื่อถูกจับกุมดำเนินคดี ก็มิได้รู้สำนึกในการกระทำของตนและบรรเทาผลร้ายแต่อย่างใด แต่กลับปฏิเสธและต่อสู้คดีมาโดยตลอด ทั้งจำเลยยังเคยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นสัญญาบัตร มีความรู้ด้านกฎหมาย จึงควรต้องมีสำนึกและความรู้ผิดชอบชั่วดี แต่จำเลยกลับกระทำความผิดโดยมิได้ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง