
วันที่ 4 ที่อินเดีย ถูกแขกปลุก ตี 5 กินข้าวกินผัก 6 โมง 7 โมงออกจากโรงแรม เดินทางไปดูเสาอโศก ที่ยังตั้งอยู่และสมบูรณ์ที่สุด
ก่อนจะเดินไปถึงที่ตั้งของเสาอโศก เรารู้สึกว่าเมืองนี้ต่างไป ไม่มีเด็กวิ่งมาขอเงิน เดินไปไม่นานก็เห็นว่า มีการเอาเด็กๆ มาสอนหนังสือ ในเพิงบ้าง ลานดินหน้าบ้านบ้าง พอนักท่องเที่ยวผ่านก็ไม่ขอแต่ถ้าอยากให้เด็กๆ ก็ดีใจ เบรกการเรียน รับเงินก่อนได้ เห็นหลายคนตั้งใจเรียนแม้จะเป็นห้องเรียนกลางดินมีเพียงกระสอบรองพื้น แต่เขาก็ตั้งใจเรียน โอ้หนอชีวิต
ผ่าน รร.บนดินไป 3-4 แห่ง เราก็ถึงเสาอโศก
เสาอโศก เป็นสัญลักษณ์สำคัญ สมัยนั้นพระเจ้าอโศกมหาราช สร้างเสาอโศกถึง 38,000 ต้น และส่งพระธรรมทูต 8 สาย เผยแผ่ศาสนาพุทธ หนึ่งใน 8 สายได้มาถึงสุวรรณภูมิ คือ บ้านเราในปัจจุบัน
การปักธงพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ จุดเริ่มคือ ที่เจดีพระปฐมเจดีย์ !!!
ใจในนาทีนั้น รู้สึกกราบในความอุตสาหะของพระธรรมทูต ที่เดินทางอย่างยากลำบาก ยังผลในกาลต่อมา คือ ทำให้คนไทยมีศาสนาพุทธเป็นที่พึ่งอาศัย อานิสงส์นี้ยิ่งใหญ่เหลือประมาณจริงๆ
วันต่อมายิ่งได้เห็นเสาอโศกต้นที่ล้มแล้วแต่ยังได้รับการรักษาดูแลอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่เมืองสารนาถ ยิ่งประทับใจมาก หัวสิงห์สวยงาม วิจิตร เกินบรรยาย ทำให้เห็นในความศรัทธาที่มุ่งมั่นจะค้ำยันพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว จากคนเมื่อพันปีก่อนสืบทอดมาจนถึงคนในปี 2566 ได้อย่างอัศจรรย์
ช่วงบ่ายเราเดินทางสู่เมืองกุสินารา เป็นที่ตั้งของสังเวชนียสถานแห่งที่ 4 ดินแดนแห่งพุทธปรินิพพาน แคว้นมัลละ
ที่นี่น้ำตาซึม บอกไม่ถูก
กราบเสร็จได้ออกมาปฏิบัติบูชา อากาศเย็นพอสบาย สมาธิดียิ่ง
สงบนิ่งเดียวดาย
คืนนั้น นอนหลับสนิทราวกับได้กลับบ้าน แห่งเรา
พรุ่งนี้ ข้ามแดนไปเนปาล ดินแดนสำคัญ คือ ที่ประสูตร จะพบพระพุทธเจ้าน้อยที่นั่น เดินทางถึงวันนี้ รู้สึกจิตสงบ นิ่งๆ จะพูดน้อยงละนะ ค่อยเล่าต่อพรุ่งนี้นะ
#กราบพระพุทธเจ้า 9 วันในอินเดียสักครั้งในชีวิต