
ปัญหาการเกิดลดลงกำลังส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยว่า จากข้อมูลชี้ให้เห็นว่า หากไม่มีมาตรการแก้ไข ภายในปี 2643 อัตราการมีบุตรเฉลี่ยของผู้หญิงทั่วโลกอาจลดลงเหลือเพียง 1.7 คน ทำให้ประชากรโลกจะมีจุดสูงสุดที่ประมาณ 9,700 ล้านคนในปี 2607 ก่อนที่จะลดลงเหลือ 8,800 ล้านคนในปี 2643 ประเทศอัตราการมีบุตรไทยจะเป็นหนึ่งใน 23 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยอัตราการเจริญพันธุ์ลดลงอย่างมาก และประชากรอาจลดลงเหลือเพียง 50% ของจำนวนปัจจุบัน
ประเทศที่ได้รับผลกระทบสูงสุดในปัจจุบัน คือ ญี่ปุ่น ที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมาหลายปีแล้ว ขณะที่ ประเทศอื่นๆ เช่น สเปน อิตาลี และเกาหลีใต้ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
"การลดลงของจำนวนประชากรจะมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในอนาคต แม้กระทั่งจีน ซึ่งเคยเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก พบว่าในปี 2565 ประชากรของจีนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี โดยมีจำนวนประชากรล่าสุดที่ 1,411 ล้านคน ทำให้ประชากรของจีนน้อยกว่าประเทศอินเดียเป็นครั้งแรก" นพ.ชลน่าน กล่าว
สำหรับประเทศไทย ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการเร่งเพิ่มประสิทธิภาพในคลินิกส่งเสริมการมีบุตรคุณภาพ โดยมีคลินิกของกรมอนามัยทั้งหมด 12 แห่ง กระจายตัวอยู่ใน 12 ศูนย์อนามัยทั่วประเทศ พร้อมให้คำปรึกษาแก่ประชาชน นอกจากนี้ ยังมีศูนย์ส่งเสริมการมีบุตรและรักษาผู้ที่มีปัญหาการมีบุตรยากทั่วประเทศ 107 แห่ง ใน 16 จังหวัด
ประกอบด้วยสถานพยาบาลของรัฐ 16 แห่ง และสถานพยาบาลเอกชน 91 แห่ง ซึ่งทุกแห่งมีความพร้อม 100% ในการรับมือกับปัญหานี้ นอกจากนี้ยังมีการเตรียมจัดแคมเปญใหญ่ชื่อ 'Give Birth Great World' ซึ่งเป็นโครงการระดับประเทศ และอาจจะเชิญชวนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเข้าร่วมด้วย โดยมุ่งเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการเกิดให้เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่แก่โลก
"เมื่อประชากรสูงอายุมีมากกว่าวัยหนุ่มสาวและเด็กที่เกิดใหม่ จะนำไปสู่ปัญหาใหญ่ทางโครงสร้างประชากร เช่น การขาดแคลนแรงงาน ประชากรสูงอายุที่มีความต้องการความช่วยเหลือจะเพิ่มขึ้น ทำให้ส่วนยอดของพีระมิดประชากรสูงขึ้น ขณะที่ฐานของพีระมิดประชากรแคบลง ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงด้านประชากรของประเทศ
ดังนั้น ภาวะเด็กเกิดน้อยจึงเป็นปัญหาของโลก ไม่เพียงแต่ประเทศไทย ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุมากกว่า 20% ขณะที่ อัตราการเกิดใหม่น้อยมาก อัตราเจริญพันธุ์รวมหรือจำนวนบุตรโดยเฉลี่ยของผู้หญิงที่เหมาะสมคือ 2.1 คน แต่ปัจจุบันพบว่าประชากรไทยลดลงเหลือเพียง 1.08 คน จำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดที่ว่า มีลูกมากจะยากจน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีการศึกษาดีและมีฐานเศรษฐกิจที่รองรับ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ" นพ.ชลน่าน กล่าว
ขณะที่ พญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากข้อมูลสถิติสาธารณสุขของปี 2565 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงเหลือเพียง 485,085 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี และเป็นครั้งแรกที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 500,000 คน ในทางตรงกันข้าม จำนวนผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในปีเดียวกันมีผู้สูงอายุมากถึง 12 ล้านคน
“หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายใน 60 ปีข้างหน้า หรือในปี 2626 ประชากรไทยจาก 66 ล้านคน อาจลดลงเหลือเพียง 33 ล้านคน และประชากรผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปจะเพิ่มจาก 8 ล้านคนเป็น 18 ล้านคน ส่งผลให้ภาวะพึ่งพิงเพิ่มขึ้น งบประมาณด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ขณะที่ ประชากรในวัยทำงาน อายุ 15-64 ปี จะลดลงจาก 46 ล้านคนเหลือเพียง 14 ล้านคน ส่งผลให้แรงงานลดลง ผลผลิตโดยรวมของประเทศลดลง และรายได้จากภาษีลดลง ขณะที่ประชากรวัยเด็ก อายุ 0-14 ปี จะลดลงจาก 10 ล้านคนเหลือเพียง 1 ล้านคนเท่านั้น" พญ.อัจฉรา กล่าว