เปิดคำสัมภาษณ์ พี่ยิ้ม เพื่อนสนิทสารวัตรกานต์ ผู้ก่อเหตุกราดยิงสายไหม

พี่มารับนะ มารับรองความปลอดภัย ! พี่ยิ้ม เพื่อนตร.คนสนิท เข้าพื้นที่ฝากสื่อบอกสารวัตรกานต์ ไม่มีใครคิดทำร้าย พี่ดูแลเอง !

เวลา 12.00 น. (15 มี.ค. 66) พี่ยิ้ม เพื่อนตำรวจคนสนิท สารวัตรกานต์ ทำงานที่ ปส. ด้วยกัน เดินทางเข้าพื้นที่มาหาสารวัตรกานต์ พร้อมซื้อเหนียวปิ้งมาฝาก คิดว่าแกยังคงไม่ได้กินอะไรมา 2 วันแล้ว ฝากสื่อบอกเพื่อน “นี่พี่ยิ้มนะ พี่มาเยี่ยม พี่มารับไม่ต้องกลัวพี่รับรองความปลอดภัยเดี๋ยวพี่ดูแลให้ ไม่มีใครคิดทำร้าย”

นี่เป็นคำที่พี่ยิ้ม เพื่อนตำรวจคนสนิทสารวัตรกานต์ ให้สัมภาษณ์

พี่ยิ้ม บอกว่า เขาอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ มีเรื่องหลายๆ เรื่องเข้ามา ประเดประดังเข้ามาเป็นส่วนที่ทำให้เกิดความเครียด แต่เรื่องทำร้ายใคร คงไม่มี

นักข่าว : คิดว่าอาวุธ และเครื่องอาวุธที่เขามีติดตัวเช่นกระสุน เขามีเยอะไหม?

พี่ยิ้ม : ก่อนหน้านี้ผมไม่เห็นเขามีปืนนะ ปืนผมไม่รู้ว่าเขาเอามาจากไหนก่อนหน้านี้ไม่ได้พกปืน งานเขาที่ปราบปรามยาเสพติด ตัวเขาไม่ได้มีหน้าที่ปราบปรามอะไรที่ต้องพกปืน งานเขาทำเกี่ยวกับหนังสือ เรื่องความชำนาญในการใช้อาวุธเขาจะไม่ค่อยชำนาญ

นักข่าว : ตกลงเขาชำนาญไหม เห็นว่าเป็นครูฝึก?

พี่ยิ้ม : ไม่ชำนาญ และไม่ได้เป็นครูฝึก เขาทำงานธุรการมากกว่าไม่ได้ออกภาคสนาม

นักข่าว : เขาเคยเรียนรู้ยุทธวิธีในการต่อสู้ หรือหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ไหม ?

พี่ยิ้ม : ผมว่าไม่นะ ดูพฤติกรรมก็รู้ว่าเขาไม่ได้มียุทธวิธีอะไร เขาไม่ได้จงใจหรือจ้องจะทำร้ายใคร ผู้บังคับบัญชาเลยไม่สั่งใช้กำลัง

นักข่าว : เห็นว่าเขามีความชอบในเรื่องของเพลงต่างๆ ?

พี่ยิ้ม : เพลงเขาเก่งเลย เขาจะเก่งเรื่องคอมพิวเตอร์ เรื่องการแต่งเพลง เขาแต่งเพลงเองได้ เขาชอบเครื่องเสียง ชอบเปิดเสียงดังๆ ทางนี้เขาจะเก่ง

นักข่าว : เขาชอบเพลงแนวไหนเป็นพิเศษคะ ?

พี่ยิ้ม : เพลงเขาจะประหลาดๆ ผมฟังแล้วไม่เหมือนคนทั่วไปฟัง

นักข่าว : ปกติเขาเป็นคนชอบฟังเพลงไหม ?

พี่ยิ้ม : เขาชอบฟังเพลง เพลงแปลกๆ ช่วงเช้าเขาจะชอบฟัง มูลนิธิใต้ดิน

นักข่าว : ลักษณะชีวิตประจำวันในแต่ละวันของเขาปกติ หรือว่ามีอะไรแปลกๆ ไหม ?

พี่ยิ้ม : ปกติครับ เขาขยันทำงาน ผมก็ยังงง ว่าเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ผมมาตั้งแต่วันแรกแล้วก็คิดว่าคงไม่มีอะไรเดี๋ยวเขาคงยอม แต่พอมันข้ามคืนนี่ผมดูไลฟ์สดผมสงสารเขา ผมกลัวอย่างเดียว ”กลัวเขาฆ่าตัวตาย”

นักข่าว : ในระหว่างที่เป็นเพื่อนกับเขามา เขามีพฤติกรรมที่ส่อว่าจะฆ่าตัวตายไหม หรือเคยบอกอะไรเราไหม?

พี่ยิ้ม : ไม่มีๆ คือเขาเป็นคนร่าเริงแจ่มใส อาจจะมีเสียงดังบ้างเรื่องงาน คนทั่วไปที่ไม่รู้จักอาจจะกลัว แต่จริงๆ นิสัยลึกๆ แล้วเขาเป็นคนดีชอบช่วยเหลือ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า เขาเก่งเรื่องซ่อมคอมพิวเตอร์ งานเขาไม่มีบกพร่อง เขาอาจจะเครียดเรื่องส่วนตัว อาจจะเรื่องย้ายที่ทำงานใหม่ไม่รู้จักใครหาที่ระบายไม่เจออะไรแบบนี้ ตอนอยู่ที่เก่าเขาจะมีผมกับเพื่อนอีก 2-3 คนที่สนิทพาไปกินข้าว ไปเดินผ่อนคลาย เขาก็จะผ่อนคลาย แต่ไปอยู่ที่ใหม่อาจจะไม่รู้จะคุยกับใครแล้วทำพฤติกรรมแปลกๆ เสียงดัง แล้วอาจจะมีคนไม่ชอบได้ น่าจะเป็นส่วนหนึ่ง หรืออาจจะผิดหวังเรื่องความรักด้วย ประมาณ 2-3 เรื่อง ประดังเข้ามา เลยทำให้เกิดเหตุแบบนี้ได้

นักข่าว : แสดงว่าเขาเป็นคนไม่ชอบเสียงดังๆ หรอคะ ?

พี่ยิ้ม : เขาไม่ได้ไม่ชอบ แต่เขาชอบทำเสียงดังหน่อยหนึ่ง คนอื่นอาจจะไม่ชอบ

นักข่าว : แล้วอย่างนี้ควรที่จะเจรจาแบบไหน ?

พี่ยิ้ม : คือว่าเขายังไม่ได้ทำร้ายใคร เพียงแต่ว่าอาจจะทำให้ชาวบ้านแถวนี้เดือดร้อนเข้าบ้านไม่ได้ แต่ผมว่าเราไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเนื้อนะ ผมดูในกลุ่มก็ถามว่าทำไมจัดการไม่ได้ ความจริงเราสามารถจัดการได้ตั้งแต่ 10 นาทีแรกแล้ว เพียงแต่ว่า “เขาไม่ใช่ผู้ร้าย” เราต้องนึกถึงว่าหากเขาเป็นลูก เป็นพี่ เป็นพ่อเรา แล้วเราไปทำความรุนแรงกับเขา โดยที่เขายังไม่ได้ทำผิดอะไรมากมาย มันเป็นความเครียด ที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน

นักข่าว : มีอะไรจะแนะนำเจ้าหน้าที่ไหมคะ ว่าจะใช้คำพูดอะไรในการเจรจากับเขา ?

พี่ยิ้ม : ให้เขาระบายความในใจว่าต้องการอะไร เราสามารถจัดการให้ได้นะได้ทุกอย่างเลยขอแค่บอกมา เขาก็จะผ่อนคลายไปเอง แต่เท่าที่ดูผมว่าเขาดีขึ้นแล้ว คงเหนื่อยล้าแล้ว น่าจะไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว

นักข่าว : อันนี้ตั้งใจเอาอะไรมาให้เขาคะ ?

พี่ยิ้ม : ขนม ข้าวเหนียวปิ้งตั้งใจเอามาให้ อยากให้เขากินอะไรลองท้องเผื่อเขาไม่ได้กินอะไร แต่ผู้บังคับบัญชาไม่ให้ผมเข้าไป

นักข่าว : ถ้าเข้าไปอยากจะคุยอะไรกับเขาครับ สิ่งที่อยากพูดกับเขา ?

พี่ยิ้ม : พี่ก็จะคุยตามที่เคยคุยปกติเลย ก็จะบอกว่า “นี่พี่ยิ้มนะ พี่มาเยี่ยม พี่มารับไม่ต้องกลัวพี่รับรองความปลอดภัยเดี๋ยวพี่ดูแลให้ ไม่มีใครทำร้าย เพื่อนๆ รักเขาทุกคนแล้วก็อยากให้เขากลับมา ตอนนี้มันยังไม่สาย พ่อเขาแม่เขาก็มาคุยแล้วไว้ใจได้ ไม่มีใครคิดจะทำร้ายเขาทั้งนั้น”