ผบช.น. ยืนยัน ไม่ได้ใช้แก๊ส – กระสุนยาง สลาย ม็อบ13กุมภา

ผบช.น. แถลง ยืนยัน ไม่ได้ใช้แก๊ส – กระสุนยาง สลาย ม็อบ13กุมภา ส่วนคนถูกทำร้าย ไม่ได้มีอาชีพพยาบาล

วันนี้ (14 ก.พ.64) บช.น. แถลงข่าวการชุมนุมของกลุ่มราษฎร เมื่อวันที่ 13 ก.พ.64 ที่ผ่านมา โดย พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เปิดเผยว่า ขณะเริ่มทำกิจกรรมการชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ได้จัดตั้งจุดคัดกรองพื้นที่โดยรอบ เพื่อตรวจค้นอาวุธสิ่งของที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ชุมนุม ซึ่งบางส่วนก็ให้ความร่วมมือ แต่บางส่วนก็ไม่ยอมให้ตรวจค้น ทั้งๆ ที่เป็นการทำเพื่อความปลอดภัยของกลุ่มผู้ชุมนุม แล้วก็มีการประกาศแจ้งเตือนเป็นระยะๆ ว่าการร่วมชุมนุมในเวลานี้ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ในเบื้องต้นก็ประกาศให้ทราบว่า การชุมนุมดังกล่าว เป็นการกระทำผิดตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเกี่ยวกับควบคุมโรค ในขณะนั้นมีกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 1,000 คน ผู้ชุมนุมก็ได้ทำกิจกรรมต่อเนื่องในบริเวณดังกล่าว และต่อมาได้ไปทำกิจกรรมปิดเส้นทางการจราจร ทำให้ไม่สามารถใช้เส้นทางการจราจรได้

กิจกรรมดังกล่าวทำต่อเนื่องจนกระทั่งเวลา 18.00 น. หลังเคารพธงชาติเสร็จ กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการชักชวนให้เดินทางไปที่บริเวณศาลหลักเมือง ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นสถานที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีความจำเป็นในการตั้งแนวเพื่อกำหนดอาณาเขตให้ทราบ หลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมาถึงบริเวณดังกล่าว ก็มีกลุ่มบุคคลที่อยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมขว้างปาสิ่งของไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน ขวดน้ำ เหล็กแหลม วัตถุที่ก่อให้เกิดเหตุระเบิด ซึ่งในเบื้องต้นตรวจสอบเป็นแรงดันต่ำ ลักษณะคล้ายระเบิดปิงปองหรือ ประทัดยักษ์ และสิ่งของหลายๆ อย่าง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บจำนวนทั้งสิ้นจำนวน 23 นาย ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล หลายคนมีอาการไม่ได้ยินเสียง แพทย์ตรวจอยู่ว่ามีลักษณะเยื่อแก้วหูฉีกขาดหรือไม่ ซึ่งหากเยื่อแก้วหูฉีกขาดก็ต้องใช้เวลารักษานาน และอีกหลายลักษณะ ทั้งโดนแก้ว โดนเหล็กแหลม

ต่อมาหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศยุติการชุมนุม ก็ยังมีกลุ่มบุคคลชุมนุมต่อและก่อความวุ่นวาย และยังคงขว้างปาสิ่งของต่างๆ ใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป ซึ่งตำรวจได้แจ้งเตือนให้แยกย้ายกลับบ้าน เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดเส้นทางการจราจร และรักษาความสงบเรียบร้อยให้สถานการณ์กลับมาสู่สภาวะปกติ กลุ่มผู้ก่อเหตุวุ่นวาย ยังคงชุมนุมต่อ จนกระทั่งครบเวลา 30 นาที ตำรวจมีความจำเป็นต้องใช้กำลังในการผลักดันผู้ชุมนุมออก รักษาความสงบและเปิดเส้นทางการจราจร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่า ไม่ได้ใช้น้ำฉีด ไม่ได้ใช้แก๊ส และไม่ได้ใช้กระสุนยาง หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็สงบลง

ผบช.น. เผยอีกว่า ในการควบคุมดำเนินคดี ในเบื้องต้นเมื่อคืนที่ผ่านมา (13 ก.พ.64) หลังจากที่มีการประกาศแจ้งเตือน ได้มีการควบคุมตัวบุคคลได้จำนวน 11 ราย จากการตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่า 3 ราย ไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม หรือสร้างความวุ่นวาย แต่เมาสุรา เจ้าหน้าที่จึงทำการเปรียบเทียบปรับและปล่อยตัวไป

ส่วนอีก 8 ราย นำตัวไปดำเนินคดี ในเบื้องต้น ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในข้อหาชุมนุมตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงาน ขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ ตชด.ภาค 1

โดยทั้ง 8 คน มีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นกลุ่มราษฎร อย่างที่นำเรียน หลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมประกาศยุติการชุมนุม ก็ยังมีกลุ่มบุคคลที่ก่อความวุ่นวายต่อ

ส่วนกรณีที่การ์ดทั้ง 2 กลุ่มปะทะกัน เบื้องต้นในเวลา 21.00 น. เศษ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันบริเวณเซเว่น หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงพบกลุ่มผู้ชุมนุมที่อ้างตัวว่าเป็นการ์ด ก็แจ้งว่า คนยิง อยู่ในเซเว่น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าไปตรวจสอบ ในระหว่างนั้น กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมบางส่วนก็พยายามแย่งตัวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและจะทำร้ายร่างกายตำรวจ เลยนำตัวผู้ก่อเหตุไปที่ สน.นางเลิ้ง จากการตรวจสอบพยานบุคคลในที่เกิดเหตุ และกล้องวงจรปิดและพยานหลักฐานอื่นๆ ยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยิงปืนและในการทำร้ายในครั้งนี้ โดยเจ้าของร้านให้การคร่าวๆ ว่าบุคคลนี้เริ่มมารับประทานอาการบริเวณเซเว่นตั้งแต่ประมาณ 18.00 น. เศษ ต่อเนื่องจากถึงเวลาเกิดเหตุ และได้มีการตรวจเขม่าดินปืนเพื่อยืนยันว่ามีส่วนเกี่ยวหรือไม่ ตอนนี้ต้องรอผลเขม่าอีกครั้ง ส่วนเพื่อนๆ ที่เข้ามาช่วยหากพบพยานหลักฐานว่ามีการทำผิดก็จะมีการดำเนินคดีต่อไป ตอนนี้ยังไม่ทราบตัวคนยิง อยู่ระหว่างการสืบสวนหาตัว

ส่วนกรณีที่เกิดแฮชแท็กในทวิตเตอร์ ตำรวจกระทืบหมอ พบว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้น กลุ่มบุคคลดังกล่าวไม่ได้มีอาชีพพยาบาล ซึ่งอันนี้คือข้อเท็จจริง แล้วกลุ่มบุคคลดังกล่าวก็อยู่ในกลุ่มพื้นที่ชุมนุมและอยู่ในกลุ่มที่ก่อความวุ่นวาย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเลือกที่จะไม่ใช้น้ำฉีด แก๊ส และกระสุนยาง และมีการประกาศแจ้งเตือนให้เวลาในการออกนอกพื้นที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นตำรวจมีความจำเป็นที่ต้องเข้ารักษาความสงบ ส่วนในกรณีที่บอกว่าเป็นพยาบาลอาสา และสวมเสื้อกั๊กในการทำหน้าที่พยาบาล ในส่วนนี้ต้องมีการรายงานความคืบหน้าเรื่อยๆ

ส่วนในกรณี ที่มีคนได้รับบาดเจ็บจากการใช้กระสุนยาง ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใช้กระสุนยาง

ใน สน.นางเลิ้ง ที่ตรวจสอบเบื้องต้น หลังจากที่ตำรวจนำตัวบุคคลต้องสงสัยที่ทางกลุ่มการ์ด ยืนยันว่าเป็นบุคคลที่ใช้อาวุธปืนจริง กลุ่มการ์ดก็ได้เข้ามาล้อมโรงพัก แล้วก็พยายามที่จะชิงตัวบุคคลดังกล่าวไป เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เกรงว่าจะเกิดเหตุวุ่นวายและอันตราย ก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า

ส่วนกรณีชายเสื้อขาวที่ถือปืนยาวในสน.นางเลิ้ง ก็เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน

และนอกเหนือจากทั้ง 11 คนนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ที่มีกิจกรรมรื้อกระถางต้นไม้ และคลุมผ้าแดงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็ต้องรอพิสูจน์ทราบตัวบุคคล และมีการดำเนินคดีต่อไป ซึ่งอาจจะดูจากพฤติกรรมของแต่ละบุคคล ซึ่งหากใครมีพยานหลักฐานที่ยืนยันได้ว่ามีการทำร้ายเจ้าหน้าพนักงาน ก็จะต้องถูกดำเนินคดีข้อหาร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงาน หรือมีพยานหลักฐานปรากฏชัดว่าก่อเหตุวุ่นวาย ก็ต้องแจ้งข้อหา มั่วสุมกันก่อความวุ่นวาย

ส่วนกรณีที่มีนางงามถูกแก๊ส ยังไม่ทราบประเด็นนี้ ซึ่งอาจจะเรียนเชิญมาให้ปากคำเพื่อเป็นประโยชน์กับคดี ว่าเขาเห็นใครใช้หรือทำอะไรหรือไม่ ซึ่งหากใครมีข้อมูลหรือหลักฐานอะไร ทางตำรวจก็ยินดี แต่ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใช้แก๊ส แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะมีการใส่เครื่องป้องกันหน้ากากกันแก๊ส แต่ก็ไม่ได้ใช้ และก่อนจะใช้ จะมีการแจ้งเตือน ซึ่งในตอนนั้นอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้แก๊ส เนื่องจากเห็นว่า กลุ่มผู้ชุมนุมยังมีประชาชนอยู่ในนั้น ซึ่งในส่วนนี้จะต้องขอความร่วมมือคนที่มาทำกิจกรรมโดยสงบ โดยที่ไม่มีเจตนาใช้ความรุนแรง

กรณีเมื่อเกิดเหตุวุ่นวาย เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งเตือนขอความกรุณาให้ออกนอกพื้นที่เกิดเหตุ เพราะเจ้าหน้าที่อาจมีความจำเป็นต้องรักษาความสงบ

ส่วนกรณีที่จะมีการชุมนุมกันอีกหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุม ว่าขณะนี้เรามีปัญหาเรื่องโรคติดต่อ จริงๆ แล้วก็ไม่อยากให้ชุมนุม ถ้าชุมนุมจริงๆ มันก็มีข้อบังคับว่า การชุมนุมต้องไม่มีลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโควิด-19 และต้องดำเนินการตามมาตรการ เรื่องที่ 2 กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งจุดคัดกรอง ก็ต้องขอความร่วมมือให้ผ่านจุดคัดกรองของเจ้าหน้าที่

ทางด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รองโฆษก ตร.) เผยว่า ในกรณีภาพที่ปรากฏในโลกโซเชียล ณ เวลานี้ ประเด็นที่อาจเป็นข่าวปลอมเจ้าหน้าที่ได้มีการดำเนินการอยู่แล้ว อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่ปรากฏ เพราะข้อเท็จจริงมีอยู่เรื่องเดียว ขึ้นอยู่กับผู้ที่จะพิจารณาเรื่องนั้นว่า จะเลือกเชื่อสิ่งไหน ยังไง เพราะ ภาพก็ปรากฏชัดอยู่แล้ว มีการยั่วยุ มีการสร้างความวุ่นวาย การใช้เครื่องมือต่างๆ ซึ่งสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำไปก็ทำตามหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดำเนินการตามขั้นตอน ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทนอดกลั้น