นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานกำหนดแผนงานและจัดสรรงบประมาณ ให้สอดคล้องกับเพศภาวะ เหมาะสมตามความจำเป็น และความต้องการที่แตกต่างกันของประชากร ทั้งเรื่องของเพศ วัย และสภาพของบุคคล โดยยึดหลักการสำคัญ ที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์ความต้องการ และการเข้าถึงทรัพยากรที่แตกต่างกัน ของหญิงและชาย ซึ่งในงานการสร้างเสริมสุขภาพ ปีงบประมาณ 2565 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้แก่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ ให้กับประชาชนคนไทยทุกสิทธิหลักประกันสุขภาพ โดยเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้เหมาะกับความจำเป็นของแต่ละช่วงวัย และกลุ่มประชากรหญิง ซึ่งต้องการได้รับการดูแลที่แตกต่างจากผู้ชาย มีกรอบงบประมาณที่ใช้กว่า 19,000 ล้านบาท ทั้งนี้ จะเป็นการช่วยลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ ลดอัตราการป่วย-เสียชีวิต และประหยัดงบประมาณในการรักษาพยาบาลในระยะยาวได้
หมวดหมู่สิทธิประโยชน์ “ตามช่วงวัย” มีดังนี้
1.สิทธิประโยชน์ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด สามารถขอรับคำปรึกษา การเตรียมความพร้อมที่จะมีบุตร ได้ที่หน่วยบริการประจำที่ลงทะเบียนไว้ จากเดิมการดูแลการตั้งครรภ์ในสิทธิประโยชน์ของบัตรทอง กำหนดไว้อย่างน้อย 5 ครั้ง ในปีนี้มีการขยายไปเป็น 8 ครั้ง หากมีความจำเป็นหน่วยบริการจะให้การดูแลมากกว่า 8 ครั้งได้
2.กลุ่มเด็กเล็กอายุ 0-5 ปี เมื่อทารกคลอดออกมา ก็ได้รับการเจาะเลือดที่ส้นเท้า เพื่อส่งตรวจภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนและโรคฟินิลคีโตนูเรีย และในปีนี้จะมีการขยายสิทธิประโยชน์ใหม่ สำหรับการตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรม เมตาบอลิก 40 โรค ด้วยเครื่อง Tandem mass spectrometry
3.กลุ่มเด็กโตและวัยรุ่นอายุ 6-24 ปี สำหรับผู้หญิงเมื่อเริ่มมีประจำเดือน มีสิทธิประโยชน์ตรวจเลือดเพื่อคัดกรองภาวะโลหิตจาง ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แม้ไม่มีภาวะซีด ก็มีสิทธิประโยชน์ยาเสริมธาตุเหล็ก และกรดโฟลิกให้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับเยาวชนที่แต่งงานมีครอบครัวและวางแผนจะมีบุตร สำหรับกลุ่มวัยรุ่นหรือที่บรรลุนิติภาวะแต่งงานแล้วแต่ตั้งครรภ์ไม่พร้อม สามารถขอคำปรึกษาได้
4.กลุ่มผู้ใหญ่อายุ 25-59 ปี ในปี 2565 มีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม คือ 1.การตรวจคัดกรองการกลายพันธุ์ของยีนโรคมะเร็งเต้านม ในคนที่เป็นมะเร็งเต้านม และติดตามญาติสายตรงที่เป็นกลุ่มเสี่ยง มารับการตรวจคัดกรองและให้การดูแลต่อเนื่อง 2.การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA Test หรือแป็บสเมียร์ (Pap smear) 3.การตรวจคัดกรองโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปาก ในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป และการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังการสัมผัสเชื้อ (HIV PEP) ซึ่งกรณีหลังนี้ให้ในทุกกลุ่มวัยไม่ใช่เฉพาะวัยผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ
5.กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สิทธิประโยชน์จะมีความคล้ายคลึงกับกลุ่มวัยผู้ใหญ่ ซึ่งจะมีการตรวจคัดกรองความดัน-เบาหวาน-มะเร็งลำไส้ใหญ่ สำหรับผู้ที่มีอายุ 60-70 ปี เป็นต้น
นางสาวรัชดา กล่าวอีกว่า พร้อมกันนี้ สปสช. ยังมีแนวทางการให้บริการยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทาน และถุงยางอนามัย ซึ่งจะทำให้ป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ตามสิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยในปีนี้ สปสช. ได้เพิ่มจุดให้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน คือ หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้แก่ คลินิกการพยาบาลฯ ร้านขายยา โรงพยาบาลเอกชน รวมกว่า 2,500 แห่งทั่วประเทศ
ส่วนถุงยางอนามัย จะให้บริการแก่คนไทยทุกสิทธิการรักษาพยาบาลอายุ 15 ปีขึ้นไป รับบริการได้ครั้งละ 10 ชิ้นต่อสัปดาห์ รอบการจ่าย 7 วัน รับได้ 1 ครั้ง ไม่จำกัดจำนวนถุงยางต่อคนต่อปี โดยใช้สมาร์ทโฟน Add Line สปสช. แล้วสแกน QR code ณ หน่วยบริการที่เข้าร่วมโครงการแจกถุงยางอนามัย เพื่อรับถุงยางอนามัยตามไซส์ มีให้เลือก 4 ไซส์ คือ 49 มม. 52 มม. 54 มม. และ 56 มม. ถุงยางอนามัยจะเริ่มให้บริการในช่วงเดือน เม.ย. 65 เป็นต้นไป