เฟซบุ๊ก นาย มนูญ ทองทิพย์ ประธานชมรมแรงเจอร์พิทักษ์สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้โพสต์ข้อความ จั่วหัวไว้ว่า
**เตือนแล้ว..บอกแล้ว.. แจ้งความต่อ ป.ป.ป. เพื่อปรามก็แล้วแต่ก็ไม่เคยหยุด
ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร VS ป.ป.ท. ยกที่ 1
ประธานชมรมแรงเจอร์ฯ เกริ่นถึงข้อมูลเดิมไว้ว่า
ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษรโดนแจ้งข้อกล่าวหาโดยอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ท. ในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ตาม ป.อาญามาตรา 217 ,218 และทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา 358 จนนำมาสู่การกล่าวหาว่า ชัยวัฒน์ ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติอุทยาน 2504
สุดท้ายบอร์ด ป.ป.ท. ชี้มูลความผิด ชัยวัฒน์ ว่ากระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 157
จากนั้นส่งคำสั่งไปให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จน อ.ก.พ.กระทรวง มีคำสั่งปลด ชัยวัฒน์ออกจากราชการ
ผู้มีอำนาจถอดถอนแต่งตั้งจะไม่ดำเนินการตั้งอนุกรรมการเพื่อลงมติปลดออกหรือไล่ออกก็ไม่ได้
ถ้าไม่ทำก็จะเจอข้อหาละเว้นฯ กฎหมาย ป.ป.ท.มันหนักกว่า ป.ป.ช. ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เป็นกฎหมายที่มิได้มีความผิดอยู่ในตัวของมันเอง ต้องอาศัยการกระทำความผิดตามกฎหมายอื่น หรือมาตราอื่น อันเป็นการกระทำหรือละเว้นการกระทำตามหน้าที่โดยทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเหตุให้เข้าฐานความผิดตามมาตรา 157
..บอร์ด ป.ป.ท. ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีคุณวุฒิและทรงคุณวุฒิทั้งสิ้น ชี้มูลความผิด ชัยวัฒน์ โดยกล่าวหาว่าเผาบ้านกะเหรี่ยงบริเวณใจแผ่นดินและบางกลอยบนโดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ 2504
โดยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำหรือละเว้นการกระทำตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
แล้ว.. จากนั้นจึงได้ส่งสำนวนคดีไปให้อัยการทุจริตภาค 7 เพื่อดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลทุจริตฯ ต่อไป
ส่งแต่สำนวนมาตรา 157 ไปอย่างเดียว แต่ไม่มีสำนวนคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 217,218 และ 358 ไปในคราวเดียวกัน..
เกิดอะไรขึ้น..
อัยการไปไม่เป็นในเมื่อไปกล่าวหาว่าเขาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่ไม่มีสำนวนคดีที่เป็นสารตั้งต้นอันได้แก่ คดีวางเพลิงเผาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 217,218 และข้อหาทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา 358 ที่นำมาสู่การชี้มูลในฐานความผิดมาตรา 157
การส่งสำนวนดังกล่าวต้องถือว่าการสอบสวน/ไต่สวน ยังไม่เสร็จสิ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 140 และ 142 เพราะส่งไปเพียงสำนวนตามมาตรา 157 อย่างเดียว แต่ไม่มีสำนวนมาตรา 217,218 และ 358
เมื่อไม่มีสำนวนแล้วจะทำความเห็นตามท้องสำนวนในความผิดสามมาตราที่เหลือได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีสำนวนย่อมไม่มีความเห็นตามท้องสำนวนในสามมาตราดังกล่าวแล้ว
จึงจะไปส่งสำนวน และทำความเห็นสั่งฟ้องให้อัยการทำการฟ้องร้อง นายชัยวัฒน์ตามมาตรา 157 มิได้
ต่อให้อัยการอยากจะฟ้องใจจะขาดก็ไม่รู้จะไปฟ้องได้อย่างไร
สิ่งที่อัยการทำได้ก็คือ #คืนสำนวน ไปให้ ป.ป.ท. ทำการสอบสวนและทำความเห็นตามท้องสำนวนในมาตรา 217,218 และ 358 มาให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 140 และ 142
นาย มนูญ เล่าต่อว่า
ปัญหาใหญ่โตมโหฬารวัวตายควายล้ม ก็คือ
ป.ป.ท.จะไปดำเนินการตามความเห็นของอัยการได้อย่างไร
ในเมื่อกล่าวหาว่า นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ได้กระทำการเผาบ้านที่พักอาศัยของผู้อื่นและทำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่แจ้งข้อกล่าวหาจนถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าบ้านที่อ้างว่าถูกเผาทั้งหกหลังนั้นมีอยู่จริงหรือไม่…
พร้อมตั้งคำถามว่า
ถ้ามี ตั้งอยู่ที่ใด, พิกัดใด มีการเข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุหรือไม่อย่างไร
ได้มีการทำแผนที่เกิดเหตุไว้หรือไม่
มีการนำผู้เสียหายชี้ที่เกิดเหตุหรือไม่
กี่หลังหรือทั้งหมด
มีการถ่ายภาพเก็บหลักฐานความเสียหายของสถานที่ที่อ้างว่าถูกวางเพลิงเผาไว้บ้างหรือไม่ เพียงใด
ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานตลอดจนสอบปากคำพยานไว้บ้างหรือไม่
มีการนำเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าพื้นที่หรือไม่ฯลฯ
“แน่นอนไม่เคยมีการกระทำการดังกล่าวข้างต้นไว้”
อนุกรรมการไต่สวนป.ป.ท. ไม่ได้ดำเนินการตามที่กล่าวมาข้างต้นแต่อย่างใดจึงเป็นเหตุให้บอร์ด ป.ป.ท. ส่งแต่สำนวนและทำความเห็นตามท้องสำนวนเฉพาะมาตรา 157 ไปให้อัยการเท่านั้นเอง
..ในเมื่อการเข้าไปดำเนินการตามวรรคก่อนเป็นเรื่องพ้นวิสัย..
คำถามที่ตามมาก็คือบอร์ด ป.ป.ท.จะทำอย่างไร
ทำเฉย สวดมนต์หรือว่า ไอคุ..คุ..คุ…
ถ้าชัยวัฒน์นำคดีขึ้นสู่ศาล..ไม่อยากจะจินตนาการ.. ไม่มีหลักฐานและสำนวนว่าเขากระทำความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์
ก็ไม่อาจจะไปกล่าวหาว่าเขาไม่ทำตามขั้นตอนของมาตรา 22 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2504ได้
เมื่อไม่สามารถกล่าวหาว่าเขาไม่ทำตามขั้นตอนตามมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติอุทยาน 2504
ก็ไม่สามารถจะไปชี้มูลว่าเขากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ได้
เมื่อไม่มีอำนาจชี้มูลว่าเขากระทำความผิดตามมาตรา 157
ก็ไม่อาจจะออกคำสั่ง ให้ผู้มีอำนาจถอดถอนแต่งตั้งทำการลงโทษทางวินัยด้วยการปลดออกหรือไล่ออกได้..
และที่สำคัญ ไม่อาจส่งสำนวนให้อัยการส่งฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษรได้..
ทิ้งท้ายข้อความไว้ด้วย # ว่า…
#เราเตือนมาตลอดแต่ท่านไม่ฟังเรา.. #อีกหนึ่งบทเรียนในการจะชี้มูลความผิดข้าราชการ
โดยแนบท้ายด้วย หนังสือ สอบถามความคืบหน้า กรณีได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ฉบับลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2564
ถึง สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 7
เรื่องนี้ มีให้ติดตามกันอีกหลายภาคแน่นอน
เพื่อหาคำตอบที่แท้จริงสู่สังคมอย่างชัดเจนว่า บทสรุปของเรื่องนี้เป็นอย่างไร ?