รัฐบาล เปิดโพล พบคนไทย ชอบ โครงการคนละครึ่ง มากที่สุด

โฆษกรัฐบาล เปิดโพลรัฐบาล พบ คนไทยส่วนใหญ่ พอใจภาพรวมการดำเนินงาน โครงการคนละครึ่งมากที่สุด ขณะที่มีประชาชนที่ไม่พอใจเพียง 6.3%

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ.2565 (ครบ 2 ปี 6 เดือน) และการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal Life) ปี 2565

โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ได้สัมภาษณ์สมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศจำนวน 6,970 คน ระหว่างวันที่ 5-18 มกราคม 2565 พบว่าในประเด็นเรื่องการติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ประชาชนร้อยละ 83.7 ติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ร้อยละ 16.3 ไม่ติดตาม เหตุผลคือ ไม่สนใจ ไม่มีเวลาว่าง และอื่นๆ เช่น ไม่ชอบ โดยติดตามทางโทรทัศน์มากที่สุดร้อยละ 71.8 รองลงมาคือ สื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ และยูทูบ ร้อยละ 55.5 ทั้งนี้ผู้ที่มีอายุน้อยได้ติดตามจากสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่าผู้มีอายุมาก และผู้มีการศึกษาสูงได้ติดตามจากสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่าผู้มีการศึกษาต่ำกว่า

สำหรับความพึงพอใจในภาพรวมต่อการดำเนินงานของรัฐบาล พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 33.9 พึงพอใจระดับปานกลางร้อยละ 40.9 พึงพอใจในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 18.9 และไม่พึงพอใจเลยร้อยละ 6.3 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดนมีความพึงพอใจในระดับมาก-มากที่สุดสูงกว่าภาคอื่นคือร้อยละ 57.9 และร้อยละ 54.5 ตามลำดับ ขณะที่ภาคอื่นมีประมาณร้อยละ 26-35

ความพึงพอใจต่อนโยบายของรัฐบาลนั้น นโยบายที่ประชาชนมีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่

– โครงการคนละครึ่ง ร้อยละ 66.9

– โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้อยละ 63.6

– โครงการเราชนะ ร้อยละ 62.9

– มาตรการเยียวยาแรงงานในระบบและนอกระบบ ร้อยละ 48.2

– โครงการประกันรายได้เกษตรกร ร้อยละ 32.4

ขณะที่มาตรการเยียวยา หรือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประโยชน์ต่อประชาชน 5 อันดับแรก ได้แก่

– โครงการคนละครึ่ง ร้อยละ 81.5

– โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้อยละ 70

– โครงการเราชนะ ร้อยละ 62.2

– มาตรการลดค่าน้ำ ค่าไฟ ร้อยละ 57.2

– โครงการ ม.33 เรารักกัน ร้อยละ 32.1

โดยประชาชนในเกือบทุกกลุ่มอาชีพระบุว่า โครงการคนละครึ่งมีประโยชน์ต่อคนในประเทศมากที่สุด

ทั้งนี้ น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า ในประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศ พบว่า ประชาชนเชื่อมั่นในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 30.4 เชื่อมั่นระดับปานกลางร้อยละ 39.7 เชื่อมั่นในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 21.3 และไม่เชื่อมั่นเลยร้อยละ 8.6 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดนมีความเชื่อมั่นในระดับมาก-มากที่สุดในสัดส่วนที่สูงกว่าภาคอื่นคือร้อยละ 52.8 และร้อยละ 52.2 ตามลำดับ ขณะที่ภาคอื่นมีประมาณร้อยละ 21-31 และประชาชนได้มีข้อเสนอแนะต่อการบริหารงานของรัฐบาล 5 อันดับแรก ได้แก่

1. การแก้ไขปัญหาค่าครองชีพสูง ร้อยละ 17.6

2. การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ร้อยละ 10.6

3. การแก้ไขปัญหาโดยคำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก รวดเร็ว ตรงจุด และโปร่งใส ร้อยละ 9

4. การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ร้อยละ 5.9

5. การแก้ไขปัญหาด้านการเกษตร ร้อยละ 4.9

โดยการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal Life) ปี 2565 ผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 97.7 มีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ร้อยละ 2.3 ไม่มีความกังวล ส่วนการปรับเปลี่ยนการใช้วิถีชีวิตเป็นแบบ New Normal Life 3 อันดับแรก ได้แก่

1. จัดเตรียมอุปกรณ์ก่อนออกจากบ้าน เช่นหน้ากากอนามัย ร้อยละ 90.4

2. หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่แออัด การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ ร้อยละ 64.1

3. ออกนอกบ้านเท่าที่จำเป็น ร้อยละ 60.5

นอกจากนี้ น.ส.ไตรศุลี กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสุขของประชาชนในภาพรวมพบว่า ประชาชนมีความสุขในภาพรวมในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 53.1 มีความสุขระดับปานกลางร้อยละ 37.3 มีความสุขในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 8.9 และไม่มีความสุขเลยร้อยละ 0.7 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดนมีความสุขในภาพรวมอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดสูงกว่าภาคอื่น (ร้อยละ 68.5)

คลิปอีจันแนะนำ
สะท้อน…ปัญหาชุมชนเขตจตุจักร