ลดงบประมาณ ซื้อวัคซีนโควิด ปี 65 จากเดิม 60 ล้านโดส เหลือ 35.4 ล้านโดส

ครม. อนุมัติ ลดงบประมาณ ซื้อวัคซีนโควิดจากเดิม 60 ล้านโดส เหลือ 35.4 ล้านโดส หลัง สถานการณ์ดีขึ้น

ครม. อนุมัติเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 (AstraZeneca) ในปี 65 ปรับลดกรอบวงเงินเหลือ 18,639.1073 ล้านบาท พร้อมเปลี่ยนแปลงโครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 (ChulaCov19 mRNA) เพื่อทำการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1-3 และขยายระยะเวลาถึงเดือนธันวาคม 65

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค เปลี่ยนแปลงรายละเอียดสาระสำคัญ ของการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย โดยปรับลดการจัดซื้อวัคซีน AZ จากเดิม 60 ล้านโดส กรอบวงเงิน 18,762.5160 ล้านบาท เป็นการจัดซื้อวัคซีน AZ จำนวน 35.4 ล้านโดส กรอบวงเงิน 11,069.8845 ล้านบาท เพิ่มการจัดซื้อภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปหรือแอนติบอดี้ออกฤทธิ์ยาว (Long-acting antibody : LAAB) จำนวน 257,500 โดส กรอบวงเงิน 7,569.2228 ล้านบาท ซึ่งทำให้กรอบวงเงินโดยรวมของโครงการปรับลดไป 123.41 ล้านบาท จากกรอบวงเงินเดิม 18,762.5160 ล้านบาท เหลือ 18,639.1073 ล้านบาท พร้อมขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการจากเดือนกันยายน 65 เป็นเดือนธันวาคม 65 โดยให้กรมควบคุมโรคบริหารการจัดการและการกระจายวัคซีนโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ ให้เพียงพอสำหรับประชาชนภายในประเทศและไม่เหลือทิ้ง

ทั้งนี้ ในปี 2565 ประชากรในประเทศมีความต้องการวัคซีนโควิด-19 ลดลง ประกอบกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีวัคซีนที่ได้รับบริจาคจากต่างประเทศมีจำนวนมาก ทำให้วัคซีนสำรองในประเทศเพียงพอ กรมควบคุมโรคจึงพิจารณาปรับแผนการจัดซื้อวัคซีน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 65 บริษัท ฯ ได้ส่งมอบวัคซีนแล้วจำนวน 13.2 ล้านโดส และจะมีแผนรับมอบ จำนวน 11.2 ล้านโดสภายในปี 65 ส่วนที่เหลืออีก 11 ล้านโดส คาดว่าจะได้รับมอบภายในไตรมาสที่ 2 ปี 66

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรค โควิด-19 ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตหากมีการติดเชื้อ แม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีน แต่ไม่เกิดภูมิคุ้มกันโรคเนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยกลุ่มนี้ ไม่สามารถสร้างแอนติบอดี้ จากวัคซีนได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มการจัดซื้อภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) มุ่งใช้กับกลุ่มเสี่ยงสูงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ 3 กลุ่มโรคได้แก่ ผู้ป่วยล้างไต ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะและผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันตนเอง ซึ่งจะช่วยป้องกันการป่วยได้ถึงร้อยละ 83 ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค จะได้มีการปรับแผนรับมอบวัคซีน เพื่อให้สอดคล้องกับการคาดการณ์ ความต้องการวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose) ภายในประเทศ และลดการสูญเสียกรณีวัคซีนหมดอายุด้วย

พร้อมกันนี้ คณะรัฐมนตรียังอนุมัติให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 (ChulaCov19 mRNA) เพื่อทำการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1-3 และการผลิตเพื่อขึ้นทะเบียนรับการรับรองจาก อย. พร้อมขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ เป็นเดือนธันวาคม 65 โดยมอบหมายให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19 (ChulaCov19mRNA) ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่ก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ให้สำเร็จตามเป้าหมาย เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถ ในการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 และยังช่วยยกระดับห่วงโซ่การผลิตวัคซีนภายในประเทศ และลดความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคอุบัติใหม่ของประเทศด้วย

คลิปอีจันแนะนำ
ขันสุดใจ ไปให้สุดเสียง