เสียงจากผู้เสียหาย ชีวิตหลัง ถูกบริษัท ตัดรหัสขายตรง ไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่น

เสียงจากผู้เสียหาย ชีวิตที่ ถูกบริษัท ตัดรหัสขายตรง ไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่น เหมือนถูกประหารชีวิต เรียกร้องขอให้มี กฎหมายคุ้มครอง ธุรกิจอิสระ

จากกรณีที่ นักธุรกิจอิสระ หรือธุรกิจขายตรงได้ตกเป็นผู้เสียหาย จากการถูกบริษัท มหาชน จำกัด แห่งหนึ่ง ตัดรหัสสมาชิก จนเกิดความเสียหายนับ 100 ล้านบาท และเข้าร้องเรียนต่อ องค์การต่อต้านแชร์ลูกโซ่ ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (27 พ.ค.64) คุณกฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ ผู้ก่อตั้งองค์กรต่อต้านแชร์ลูกโซ่ พร้อมตัวแทนผู้เสียหายจาก 4 ภาค ของประเทศไทย ได้เดินทางเพื่อยื่นหนังสือถึง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อร้องเรียน ให้ตรวจสอบการดำเนินกิจการของบริษัทดังกล่าว

ซึ่งล่าสุด ทางบริษัท ซัคเซสมอร์ บีชิ้งค์ จำกัด (มหาชน) ก็ได้ออกหนังสือชี้แจงง 2 ประเด็นหลักๆ คือ 1. เรื่องการตัดรหัสสมาชิก เป็นเพราะ สมาชิก ทำผิดกฎจรรยาบรรณ 2. เรื่อง บริษัทฯ มีการวิ่งเต้นเพื่อล้มคดี ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จ

ซัคเซสมอร์ ชี้แจง ตัดรหัสขายตรง เพราะ สมาชิก ทำผิดกฎจรรยาบรรณ

ด้านคุณกฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ ผู้ก่อตั้งองค์กรต่อต้านแชร์ลูกโซ่ เปิดเผยว่า การที่ตนและผู้เสียหายซึ่งเป็นนักธุรกิจอิสระ หรือระบบขายตรงออกมาเรียกร้องในครั้งนี้ เนื่องจาก ทางกลุ่มผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อน จากการถูกตัดรหัส ระงับคอมมิชชั่นหรือ ก็คือการไม่จ่ายผลตอบแทน ด้วยบริษัทอ้างด้วยเหตุผลจรรยาบรรณ แต่กฎจรรยาบรรณ มันอาจจะอิงกฎหมาย หรือไม่อิงกฎหมายก็แล้วแต่ แต่ ณ วันนี้ (27 พ.ค.64) ตนและกลุ่มผู้เสียหาย อยากให้หน่วยงานรัฐเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรม บางคนถูกตัดรหัสมานานหลายปีแล้ว จนมาเคสล่าสุด เมื่อมีนาคม 2564 จนตอนนี้มันคนเข้ามาร้องเรียนเกิน 10 รายแล้ว และคาดว่าน่าจะมีเกิน 50 รายขึ้นไป

เรื่องของการตัดรหัส มันเป็นวาระแห่งชาติของอาชีพขายตรง เพราะมันเป็นธุรกิจอิสระ แต่ไม่มีกฎหมายรับรอง ซึ่งในส่วนนี้ เคยไปร้องที่ สคบ.แล้ว แต่ไม่รับเรื่อง เพราะถือว่าเป็นผู้จำหน่ายอิสระ ไม่ใช่ผู้บริโภค พอไปร้องเรียนที่กระทรวงยุติธรรม ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ก็ถูกกระแสว่าล้มคดี ตนจึงอยากผลักดันให้มีกฎหมายคุ้มครองธุรกิจในส่วนนี้ ค่อยๆ ผลักดันไปทีละน้อย ได้แค่ 1 % ตนก็ดีใจแล้ว

ด้านคุณกบ ผู้เสียหายรายล่าสุด ที่อยู่บริษัทนี้มาอย่างยาวนาน ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า เธอเชื่อมั่นในบริษัท มหาชน แห่งนี้มาก ทำงานกับบริษัทนี้มา 7 ปี 7 เดือน มีทีมงานใต้สายงานมากกว่า 200,000 รหัส สร้างรายได้เข้าบริษัทกว่า 6,000 ล้านบาท รายได้ส่วนตัวต่อเดือนมากสุดที่เคยได้รับมาคือ 1 ล้าน 8 แสนบาท

แต่ในวันที่เกิดเหตุคือวันที่ 26 มี.ค.64 เธอเล่าว่า ถูกตัดรหัส โดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า โดยเธอถูกโทรตามจากอัพไลน์ เพื่อให้เข้าบริษัท โดยอ้างว่า มีปัญหาเกี่ยวกับโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์ เมื่อเข้าไปที่บริษัท ก็มีประธานบริษัท เข้ามาชี้แจงว่าเธอขายสินค้าตัดราคา ซึ่งในวันนั้นทางทนายความของบริษัทให้เธอเซ็นยินยอม แต่เธอเซ็นรับทราบการเข้าร่วมประชุมเท่านั้น

ซึ่งหลังจากเธอเข้ามาร้องเรียนกับเพจ กฤษอนงค์ต้านโกง ทำให้เธอพบว่า มีคนที่โดนแบบเดียวกับเธออีกหลายเคส ซึ่งโดนตั้งแต่รหัสหลักร้อย

ย้อนกลับไป เมื่อ 7 ปี ที่แล้ว หลังบริษัทเปิดได้ 6 เดือน เธอเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนคนอื่น เสียค่าสมัครสมาชิก 300 บาท หลังจากที่ฟังเรื่องราวของบริษัทจากน้องสาวที่สนิท ที่มาชวนให้เธอไปทำงานอีกที ความมั่นคงของบริษัททำให้เธอมีความเชื่อมั่นอยากจะฝากชีวิตไว้กับงานนี้ มุ่งมั่นทุ่มเท

เธอเล่าว่า เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายลักษณะนี้ 1 ครั้ง เมื่อ 2-3 ปีก่อน แต่ตอนนั้นเป็นเพียงแค่การฟรีซรหัสเท่านั้น ไม่ได้ตัดรหัส สาเหตุเนื่องจาก มีคนในทีมใต้สายงานของเธอ ขายสินค้าตัดราคา แต่หลังจากเข้าไปพูดคุยให้เหตุผลกับทางบริษัท ทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ

เธอเล่าต่อ ทุกครั้งบริษัทจะบอก ทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน แต่สิ่งที่ทำกับเธอ มันไม่ใช่ เธอทำอาชีพขายตรงอาชีพเดียว ถ้าไม่รักอาชีพนี้ คงไม่ออกมาต่อสู้แบบนี้ และเธอไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่เธอสู้เพื่อธุรกิจเครือข่าย เพราะตอนนี้คนภายนอกมองว่าธุรกิจนี้ ไม่น่าทำ สังคมรังเกียจ แต่ในวันนี้อยากให้สังคมรับรู้ว่า ธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจที่ขาวสะอาด ไม่ใช่ไม่ดี แต่แค่มีคนบางกลุ่ม ที่พอใจในผลประโยชน์แล้ว แต่ไม่ได้มองคนอื่น การทำแบบนี้มันเหมือนเป็นการประหารชีวิตกัน ใครถูกใครผิด ไม่พูดกัน ต้องดูที่การกระทำ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาสู้ตอนนี้ คนอื่นก็คงจะโดนแบบเดียวกัน

ด้านคุณทาม ผู้เสียหายอีกราย ตัวแทนจากภาคใต้ อดีตที่ปรึกษาของบริษัท เล่าว่า เหตุการณ์ที่ถูกตัดรหัสเกิดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (2562) โดยอ้างว่า ทางบริษัทมีการปลดรูปลงจาก Hall of Fame ของบริษัท หลังจากนั้นก็มีการเอาไลน์ของตนออกจากไลน์กลุ่มผู้บริหารระดับสูง ตนพยายามติดต่อบริษัท เพื่อขอชี้แจง จึงเดินทางเข้า กทม.

หลังจากเดินทางมาที่บริษัท ทางบริษัทก็ได้ชี้แจง 3 ข้อ เกี่ยวกับกรณีของตน คือ
1. มีการว่าร้ายให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง (คุณทาม เผยว่า เมื่อขอดูหลักฐาน แต่กลับได้รับคำปฏิเสธ บริษัทอ้างว่าไม่มีพยานไม่มีหลักฐาน แต่ได้ยินมา)
2.มีรหัสอยู่ในบริษัทอื่น (คุณทามยอมรับว่าตนมีชื่ออยู่ในบริษัทอื่นจริง แต่ผู้นำบริษัทอื่นก็มีชื่ออยู่ในเครือข่ายตนเช่นกัน)
3.ถ่ายรูปกับผู้บริการของ บริษัท ซูเลียน (คุณทาม เล่าว่า ตนเจอที่สนามบินโดยบังเอิญ)

หลังจากนั้นตนก็ถูกตัดรหัส ตนคาดว่าเรื่องนี้อาจจะเกิดจากอคติส่วนตัวหรือไม่ ?

คุณทาม เล่าต่อ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่ถูกตัดรหัส ตนเสียใจมาก เพราะ คนที่ตนชวนมาทำอาชีพนี้ คือ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงทั้งนั้น หลังจากเกิดเรื่องก็ไม่มีใครเข้าใจตน สิ่งที่เสียใจที่สุด คือ ตนไม่สามารถเรียกร้องหรือขอความยุติธรรมจากใครได้เลย สิ่งที่อยากได้คืนตอนนี้ คือ ความยุติธรรมและชื่อเสียงของตนเองคืน ส่วนเงินถ้าได้กลับมาจะเอาไปทำบุญ เพื่อช่วยเหลือคนอื่นในสถานการณ์โควิด-19

ส่วนกรณีที่มีคลิปเสียงให้เซ็นเอกสารยินยอม ทางกลุ่มผู้เสียหาย เผยว่า อันนั้นเป็นอีกเคสหนึ่ง และได้มอบอำนาจให้ทางทนายมาแล้ว ซึ่งประเด็นนี้ เป็นการเซ็นยินยอมที่จะให้ค่าคอมมิชชั่น 40% ให้กับสมาชิก และคืนกลับบริษัท ถ้าไม่ยินยอม สายงานของเขาจะโดนโยกย้าย

ก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่า บางคนยังไม่โดนกับตัวเอง ก็คงจะไม่รู้สึก และยังปกป้องบริษัท ซึ่งถ้าพวกตนไม่ลุกมาสู้ในครั้งนี้ อีกหลายคนก็จะถูกกระทำเช่นเดียวกัน และนี่คือคำกล่าวอ้างจากกลุ่มตัวแทนผู้เสียหาย