แม่โร่ร้องกองปราบ ตามหามือปืน ยิงลูกชายตายเมื่อ 8 เดือนก่อน

แม่วอนขอความเป็นธรรมให้ลูกชาย หลังโดนยิงตาย 8 เดือน คดีไม่คืบ ด้านตำรวจพื้นที่ ลั่น! หลักฐานไม่เพียงพอ

วันนี้ (26 ก.ย. 62) ทนายรณรงค์ แก้วเพ็ชร พา นางสายหยุด ปรีชา อายุ 84 ปี เข้าร้องขอความเป็นธรรมให้กับ นายเสกสรร ปรีชา ลูกชายวัย 52 ปี ที่กองปราบปราม เพื่อช่วยติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุยิงลูกชายเธอ จนเสียชีวิต บริเวณบ้านพัก ต.รมณีย์ อ.กะปง จ.พังงา เมื่อวันที่ 7 ก.พ.62 ที่ผ่านมา

ภาพจากอีจัน

โดยนางสายหยุด เล่าเหตุการณ์ทั้งน้ำตาว่า ลูกชายถูกคนร้ายยิงด้วยปืนลูกซองเข้าที่ใบหน้า จนเสียชีวิต
ซึ่งปมเหตุเกิดจากการขัดแย้งผลประโยชน์ที่ดินบุกรุกป่าสงวน

ภาพจากอีจัน

หลังเกิดเหตุตนเคยร้องขอความเป็นธรรมกับตำรวจ สภ.กะปง จ.พังงา ไปแล้ว แต่ไม่คืบหน้าจึงมาร้องขอความเป็นธรรมกับตำรวจกองปราบปราบให้ช่วยติดตามจับกุมคนร้ายทุกคนมาดำเนินคดี

ขณะที่นางสาวเมธินี ปรีชา วัย 54 ปี พี่สาวของ นายเสกสรร (ผู้เสียชีวิต) ระบุว่าก่อนหน้านี้ นายเสกสรร เป็นเจ้าหน้าที่อาสา เคยช่วยดูแลที่ดินของเพื่อน จนได้รับการไหว้วานให้นำที่ดินไปประกาศขายต่อ

แต่ต่อมา ญาติที่รู้จักกัน กลับเข้ามาบุกรุกพื้นที่ ที่ประกาศขาย จนเกิดการขัดแย้ง
จนเกิดการไล่ยิงนายเสกสรร ได้รับบาดเจ็บ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา
ซึ่งหลังเกิดเหตุ นายเสกสรร ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจท้องที่ให้ดำเนินคดี พร้อมกับนำหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุทั้งหมดมอบให้ตำรวจไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่คดีไม่คืบหน้า
โดยตำรวจให้เหตุผลว่า พยานหลักฐานเอาผิดคนร้ายไม่ได้ นายเสกสรรจึงเดินหน้าฟ้องร้องเรื่องที่เกิดขึ้น

ภาพจากอีจัน

แต่สุดท้ายคดียังไม่ทันคืบ
นายเสกสรร ก็ถูกยิงตายซะก่อน เมื่อต้นปี 2562
ซึ่งครอบครัว เชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มคนเดิมที่เคยมีเรื่องกับน้องชาย จึงสอบถามหาความคืบหน้าคดีนี้ แต่ตำรวจกลับไม่มีการชี้แจงใดๆ บอกเพียงว่า หลักฐานมีไม่เพียงพอเอาผิดคนร้ายไม่ได้ ทั้งๆที่วันเกิดเหตุมีปลอกกระสุนตกอยู่

ภาพจากอีจัน

พี่สาว นายเสกสรร เล่าต่อว่า ตอนนี้ผ่านมานานกว่า 8 เดือน ยังไม่สามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษได้ ครอบครัวต้องอยู่กับความหวาดกลัว ถึงขั้นต้องย้ายที่อยู่ อยากให้ตำรวจกองปราบรับเรื่องนี้ เพื่อสืบสวนหาข้อเท็จจริง เอาผิดคนก่อเหตุซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ให้ได้

ภาพจากอีจัน

เบื้องต้นทางกองปราบปรามรับเรื่องไว้แล้ว พร้อมสอบปากคำ และรวบรวมพยานหลักฐานตรวจสอบทางกฎหมายต่อไป