ร้องอีจัน! สามีตกเป็นผู้ต้องหา เพราะทำบัตรประชาชนหาย

ร้องเรียนอีจัน! สามีตกเป็นผู้ต้องหา จำหน่ายยาเสพติด เพราะทำบัตรประชาชนหาย ขอความเป็นธรรมให้สามีด้วย

อีจันได้รับเรื่องร้องเรียนจากลูกเพจซึ่งครอบครัวของเขาได้ส่งเรื่องราวเข้ามาร้องขอความเป็นธรรม โดยบอกว่า สามีชื่อ นายสุวัตร โพนชัยยา อาชีพนายช่างโยธาชำนาญงาน สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลนาทราย อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีพยายามจำหน่ายยาเสพติด และในขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ เพราะทำบัตรประชาชนหาย ต่อมาพบว่ามีคนนำบัตรประชาชนของสามีไปเปิดซื้อซิมโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเครือข่ายหนึ่ง ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นกลุ่มขนและจำหน่ายยาบ้า 

ภาพจากอีจัน

อีจันจึงได้ติดต่อกลับไปเพื่อสอบถามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติม จนได้ไปพบกับ นายภานุวัฒน์ ไร่วิบูลย์ หรือทนายโต้ง ทนายของผู้เสียหาย ทนายโต้งอธิบายถึงเหตุการณ์ก่อนที่ลูกความของเขาจะตกเป็นผู้ต้องหาว่า นายสุวัตร โพนชัยยา อดีตดำรงตำแหน่งนายช่างโยธาชำนาญงาน สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลนาทราย อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม รับราชการมาเป็นเวลา 14 ปี 9 เดือน ได้รับพระกรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจตุรถาภรณ์ช้างเผือก ซึ่งไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือมีประวัติด่างพร้อยเลย 

ภาพจากอีจัน

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2562 เวลา 12.30 น. ขณะที่นายสุวัตร โพนชัยยา ได้กลับมาจากรับประทานอาหารกับเพื่อนร่วมงานมาถึงที่ทำงานคือองค์การบริหารส่วนตำบลนาทราย อ.มือง จ.นครพนม ได้มีเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจาก สภ.เมืองนครพนม ได้เข้าทำการขอจับกุมตามหมายจับของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ และมีเจ้าพนักงานตำรวจของ สภ.สมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ มารับตัวไปทำการสบสวน ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า พยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่ายี่สิบกรัมขึ้นไป จำนวน 1,992 เม็ด

เมื่อสอบถามกับพนักงานสอบสวน ทำให้ทราบว่า มีการนำบัตรประชาชนของ นายสุวัตร โพนชัยยา ไปเปิดใช้ซื้อซิมโทรศัพท์แบบเติมเงินของ AIS ที่ร้านสแกนโมบาย อ.เรณูนคร จ.นครพนม เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2560 ซึ่งนายสุวัตร โพนชัยยา ได้ให้การปฏิเสธ และยืนยันคำให้การว่า ในวันนั้นได้ปฏิบัติงานอยู่ที่สำนักงานตลอดเวลา และมีหลักฐานการสแกนลงเวลาการปฏิบัติงาน พร้อมให้การว่าตนเคยทำบัตรประชาชนหล่นหาย แต่ยังไม่ได้ไปแจ้งความ ต่อมาในเดือนธันวาคม 2560 มีคนส่งบัตรประชาชนคืนมาที่บ้าน ก็ไม่คิดว่าจะมีการเอาไปทำการใดๆ คิดแค่ว่ามีคนพบบัตรแล้วส่งกลับคืนมาให้แค่นั้น ตนก็ใช้ชีวิตทำงานตามปกติเรื่อยมา จนมาถูกตำรวจชุดจับกุมในวันที่ 11 ม.ค. 2562 ดังกล่าว

ภาพจากอีจัน

ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2562 พนักงานสอบสวนได้ทำการฝากขังนายสุวัตร ที่เรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งในระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ทางญาติ พี่น้อง และภรรยา ได้ทำเรื่องขอประกันตัวที่ศาลชั้นต้น 3 ครั้ง ศาลอุทธรณ์ 3 ครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับการประกันตัวเลยสักครั้ง เนื่องจากนายสุวัตรรับราชการ จึงต้องถูกเพิ่มโทษทำให้มีอัตราโทษสูง ต่อมาในวันที่ 5 เมษายน 2562 นายสุวัตร ได้รับการปล่อยตัว เนื่องจากครบกำหนดการผลัดฟ้องฝากขังครั้งที่ 7 เป็นระยะเวลา 84 วัน ที่อยู่ในเรือนจำ ศาลจึงมีหมายให้ปล่อยตัว เนื่องจากพนักงานอัยการส่งฟ้องไม่ทัน

หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัว นายสุวัตรและครอบครัว รวมทั้งเพื่อน รุ่นพี่ทำทำงาน ก็ได้พยายามหาหลักฐานต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ทั้งเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขอหลักฐานกับทางบริษัทฯ AIS ในการเปิดใช้โทรศัพท์ เข้ารายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา เข้าแจ้งความต่อสถานีตำรวจอำเภอเมืองนครพนม เข้าไปสอบถามกับร้านตัวแทนจำหน่ายที่มีคนไปซื้อเบอร์โทรศัพท์ เข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรม และยุติธรรมจังหวัดนครพนม

จนในวันที่ 19 มิถุนายน 2562 พนักงานสอบสวนจึงได้นัดให้เข้ารายงานตัวต่อพนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ ก็ได้เข้ารายงานตัวตามคำสั่ง และทางพนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ได้กำหนดนัดฟ้องครั้งแรกในวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 ก็ได้เข้ามารายงานตัวตามนัด แต่พนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ได้เลื่อนนัดเป็นวันที่ 6 สิงหาคม 2562 และพนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ส่งสำนวนกลับไปยังพนักงานสอบสวน สภ.สมเด็จ เพื่อให้เรียก นายสุวัตร โพนชัยยา เข้ามาให้ปากคำและนำหลักฐานมาเพิ่มเติม และเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 พนักงานสอบสวน สภ.สมเด็จ ก็ได้แจ้งเข้าให้ปากคำเพิ่มเติม ซึ่งนายสุวัตรได้เข้าไปพบตามนัด

และในวันที่ยื่นฟ้องคือวันที่ 6 สิงหาคม 2562 นายสุวัตร โพนชัยยา ก็ได้เข้ามารายงายตัวอีกเช่นเดิม พนักงานอัยการก็ได้ยื่นสำนวนส่งฟ้อง โดยไม่คัดค้านการขอประกันตัว แต่ทางศาลให้ทำการควบคุมตัวไว้ ทางญาติ พี่น้อง และภรรยา ก็ได้ทำเรื่องขอประกันตัว ขอปล่อยตัวชั่วคราวที่ศาลชั้นต้น 3 ครั้ง และกับศาลอุทธรณ์ 2 ครั้ง ศาลก็ไม่ให้อนุญาตประกันตัวอีกเช่นเคย ซึ่งตรงนี้ทนายโต้งเห็นว่า นายสุวัตร โพนชัยยา แค่อยากขอใช้สิทธิขั้นพื้นฐานหรือสิทธิเริ่มแรกในการดำเนินกระบวนการพิจารณา คือสิทธิการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว สิทธิในการต้องไปดูแลบุพการี ซึ่งมีอายุมาก สิทธิในการดูแลครอบครัวคือ ภรรยาและบุตร ซึ่งไม่มีรายได้ประจำ ภรรยาก็ทำงานเป็นแม่บ้าน และเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และตามรายละเอียดปรากฏตามบันทึกรับทราบวันนัด เพื่อทราบคำสั่งของสำนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์

ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2562 จนกระทั่งถึงวันที่ส่งฟ้อง คือวันที่ 6 สิงหาคม 2562 เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 123 วัน นายสุวัตร โพนชัยยา ได้มารายงานตัวตามกำหนดนัดทุกครั้ง ไม่มีพฤติกรรมที่จะหลบหนีแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และพร้อมที่จะนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองในชั้นพิจารณาคดีของศาล และมีเจตนาที่จะกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งนายช่างโยธาชำนาญงาน องค์การบริหารส่วนตำบลนาทราย อ.เมือง จ.นครพนม เช่นเดิม

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน

นอกจากนี้ทนายโต้งยังได้บอกรายละเอียดของการใช้โทรศัพท์ของเบอร์ที่มีคนร้ายนำบัตรประชาชนของนายสุวัตรไปซื้อซิมโทรศัพท์ พบว่า พื้นที่ของการใช้งานอยู่ในโซนจังหวัดใกล้เคียงนครพนม คือ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ มหาสารคาม ขอนแก่น ยโสธร เป็นต้น โดยไม่มีการใช้โทรศัพท์ในพื้นที่จังหวัดนครพนมเลย ซึ่งนายสุวัตร อาศัยอยู่ที่นครพนม ไม่เคยไปจังหวัดเหล่านี้นอกจากไปทำงานช่างกับทีมในบางจังหวัดบ้าง แต่ไม่บ่อย และใช้ชีวิตอยู่ที่นครพนม

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน

ทนายโต้ง บอกอีกว่า ขณะนี้ถ้านับตั้งแต่วันฟ้อง 6 ส.ค. 62 นายสุวัตรอยู่ในเรือนจำมากว่า 2 เดือนแล้ว ซึ่งทางครอบครัวเป็นห่วงเรื่องสุขภาพและความเครียดมาก เนื่องจากถูกคุมขังอยู่ต่างบ้าน คือที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งครอบครัวอยู่ที่นครพนม การที่จะมาเยี่ยมแต่ละครั้งก็ต้องเหมารถมากัน รายได้ที่นายสุวัตรหาเป็นหลักก็ขาดหายไป

อีจันจึงได้เดินทางไปที่ สภ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อสอบถามถึงคดีดังกล่าว พบกับ พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ รักษาศิลป์ ผกก.สภ.สมเด็จ ชี้แจงถึงการขออนุมัติหมายจับนายสุวัตรว่า เนื่องจาก สภ.สมเด็จ ทำงานประสานข้อมูลกันกับทางจังหวัดจนทราบว่ามักมีกลุ่มคนร้ายลอบขนยาเสพติดและจำหน่ายยาเสพติดในพื้นที่ของ อ.สมเด็จ จึงได้ให้สายลับลองติดต่อหาคนที่เคยติดคุกด้วยกัน เพื่อล่อซื้อยาเสพติด ปรากฏว่าคนดังกล่าวเสียชีวิตไปแล้ว แต่มีน้องสาวเป็นผู้ทำต่อ จึงให้สายลับลองถามว่า จะซื้อยาเสพติดประมาณ 2,000 เม็ด ซึ่งทางน้องสาวของพ่อค้ายาก็บอกว่ามี เดี๋ยวให้คนติดต่อกลับไป

ภาพจากอีจัน

จากนั้นก็มีเบอร์แปลกโทรกลับเข้ามาที่เบอร์ของสายลับ ปลายสายเป็นเสียงผู้ชาย พร้อมนัดแนะสถานที่ที่จะมีการนำยาเสพติดไปส่งให้ และแลกเปลี่ยนกับให้สายลับนำเงินไปวางไว้ยังจุดที่กำหนดให้ จนในวันที่นัดส่งของ เจ้าหน้าที่ก็มีทีมไปดักซุ่ม พบมีคนนำถุงดำใส่ของมาวางไว้ที่หลักกิโลเมตร 677 ถ.สมเด็จ – ห้วยผึ้ง เจ้าหน้าที่จึงเข้าทำการตรวจสอบพบเป็นยาเสพติด แต่กลุ่มคนร้ายไหวตัวทัน จึงหลบหนีไปได้ ทำให้ครั้งนั้นจับของกลางได้แต่ไม่ได้ตัวคน และเมื่อมาตรวจสอบจากเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามานัดส่งของกับสายลับก็พบว่าชื่อที่ใช้เปิดเบอร์เป็นชื่อของ นายสุวัตร โพนชัยยา

เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมพยานหลักฐานยื่นขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับในข้อหา พยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) จึงมีการสืบหาตัวจนทราบว่านายสุวัตรทำงานเป็นนายช่างโยธาอยู่ที่นครพนม ชุดจับกุมจึงได้ไปเชิญตัวและขอจับกุม

พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ รักษาศิลป์ ผกก.สภ.สมเด็จ ยืนยันว่า ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ทำงานไปตามกระบวนการทางกฎหมาย เมื่อมีมูลชี้ไปที่บุคคลใดก็ต้องดำเนินกับบุคคลนั้นตามกระบวนการ หากว่านายุวัตรเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องดังกล่าว ก็ต้องหาพยานหลักฐานมาชี้แจงต่อศาลให้น่าเชื่อให้ได้ต่อไป