พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น! ลุงวิศวะจำคุก 10 ปี

ศาลชลบุรี พิพากษาจำคุก ลุงวิศวะ 10 ปี ด้านทนายยื่นประกันตัว 8 แสนบาท ขอสู้ต่อชั้นฎีกา

จำเหตุการณ์นี้ได้ไหม ?
เหตุเกิดที่บริเวณหน้าที่ตั้งครกใหญ่ สามแยกถนนอ่างศิลา ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 กรณีนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ลุงวิศวะ อายุ 50 ปี ก่อเหตุยิงวัยรุ่นที่กรูเข้าล้อมรถเก๋งและพยายามทำร้าย เหตุการณ์นี้ทำให้ นายนวพล หรือปอน ผึ่งผาย อายุ 17 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

ภาพจากอีจัน
ล่าสุดวันนี้ (10 ต.ค.62) เวลา 10.00 น. นายสุเทพ ในฐานะจำเลย ในคดีฆ่าผู้อื่น ได้เดินทางมาพร้อมกับภรรยา เพื่อฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดชลบุรีในชั้นอุทธรณ์ ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 2 ศาลจังหวัดชลบุรี ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า "เมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์ตู้มาจอดที่หน้าร้านขายของฝากกีดขวางทางออกของจำเลย แล้วมีการโต้เถียงกันนั้น ยังไม่ปรากฏว่ามีถ้อยคำพูดที่ไม่สุภาพจากฝ่ายใด แต่หลังจากที่จำเลยกระพริบไฟใส่รถตู้และบีบแตรหลายครั้ง จำเลยเริ่มใช้คำพูดไม่สุภาพในลักษณะยั่วโทสะของผู้ตาย โดยขณะนั้นจำเลยมีอาวุธปืนของกลางอยู่ใกล้ตัว แสดงว่าจำเลยและภริยามีโทสะและพร้อมที่จะมีเหตุวิวาทกับพวกของผู้ตาย ที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าเหตุการณ์ในขณะนั้น มีปากเสียงกันเพียงเล็กน้อยและจบลงแล้วจึงฟังไม่ขึ้น เมื่อพวกของผู้ตายขับรถตู้และรถเก๋งออกไปแล้ว หากจำเลยมีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจอารมณ์ร้อนบ้าง โดยจอดรถรอสักพักหนึ่งก่อนเพื่อให้โทสะคลายลงแล้วค่อยขับรถออกไปเหตุทะเลาะวิวาทในคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จำเลยกลับขับรถตามไปในทันที ขับแซงรถตู้บีบแตรยาวใส่แสดงให้เห็นว่าจงใจเจตนายั่วโทสะพวกของผู้ตาย มิใช่การบีบแตรเตือน ดังที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์ จำเลยขับไปอยู่ด้านหน้า เมื่อพวกของผู้ตายซึ่งขับตามรถจำเลยมาบีบแตรยาวและเปิดไฟสูงใส่รถจำเลย อันเป็นการส่งสัญญาณความไม่พอใจและท้าทาย จำเลยก็ชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดรถเพื่อให้พวกผู้ตาย ขับชนท้ายและบีบแตรรถในลักษณะส่งสัญญาณโต้ตอบกลับไป อันเป็นการรับคำท้าทายของฝ่ายผู้ตายกับพวกทั้งมีเจตนายั่วโทสะฝ่ายผู้ตายให้เพิ่มมากขึ้น และไม่เกรงกลัวว่าจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน เหตุที่จำเลยมีพฤติการณ์เช่นนี้ก็เนื่องจากจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย แสดงให้เห็นถึงนิสัยและพฤติกรรมของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท เมื่อพวกของผู้ตายขับรถเก๋งมาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยหักหัวรถอย่างกะทันหันในลักษณะปาดหน้าและขัดขวางมิให้รถเก๋งของพวกผู้ตายขับต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายและพวกมาตลอดเส้นทาง จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุจำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่ เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายกับพวกมากันหลายคนก็เริ่มเกิดความกลัว แต่ยังคงพูดกับผู้ตายและพวกด้วยน้ำเสียงดุดันในลักษณะไว้ท่าทีว่าจะเอาเรื่อง มิใช่คำพูดในทำนองขอโทษการกระทำของตน หรือแสดงให้เห็นว่าไม่อยากมีเรื่องหรือให้เลิกแล้วกันไปแม้ฝ่ายผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมาไม่ขาดตอนนับระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเพียง 5 นาทีเศษ ตามพฤติการณ์เป็นกรณีจำเลยเป็นผู้เริ่มต้นก่อให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทและเมื่อจำเลยยั่วโทสะท้าทายจนฝ่ายผู้ตายโต้ตอบและสมัครใจร่วมวิวาทกับจำเลยแล้ว จำเลยจึงไม่อาจกล่าวอ้างว่าฝ่ายผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุและเมื่อเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น จำเลยจึงจำต้องชักปืนออกมายิงเพื่อป้องกันชีวิตของจำเลยและคนในครอบครัวอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น"
ภาพจากอีจัน

หลังจากนั้น นายสุเทพ จึงได้ให้ทนายความยื่นขอประกันตัว เพื่อขอสู้คดีในชั้นฎีกา ด้วยเงินสด จำนวน 874,000 บาท พร้อมกล่าวว่า ยอมรับในคำตัดสินของศาล แต่ต้องการสู้เพื่อให้ความจริงปรากฏ อีกทั้งตนยังมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพ เป็นโรคเบาหวานและอีกหลายโรค

ภาพจากอีจัน
ด้านนางสาวมณีพร แม่ของนายนวพล ผู้ตาย เผยว่า รู้สึกพอใจในคำตัดสินของศาล เห็นถึงความยุติธรรมว่ามีอยู่จริง ที่ผ่านมาตนรู้สึกเหนื่อยมากกับการเดินทางมาที่ศาลในระยะ 2 ปี โดยหลังจากเกิดเรื่อง ทางฝ่ายจำเลยก็ยังไม่มีการพูดคุย รวมถึงไม่มีการจ่ายสินไหมทดแทนอีกด้วย
ภาพจากอีจัน

ส่วนนายวันชัย แสงสุวรรณ์ ทนายฝ่ายผู้เสียชีวิต เผยว่า จำเลยมีสีหน้านิ่ง แต่ก็ยังยืนต่อศาลเป็นการป้องกันตัว แต่ศาลเห็นว่าจำเลยสมัครใจเข้าไปมีส่วนร่วมทะเลาะวิวาทมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่อง จึงได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คือ จำคุก 10 ปี