ดื่มน้ำมากๆ ช่วยพัฒนาความสามารถของเด็ก

วิจัยชี้ ‘เด็กที่ดื่มน้ำมากๆ’ สามารถทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้?

วันนี้ 30 ต.ค. 2562 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า

งานวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (University of Illinois) เมื่อวันที่ผ่านมา (28 ต.ค.62) ระบุว่าการดื่มน้ำไม่เพียงแต่ช่วยเติมน้ำให้ร่างกายของเด็กๆ เท่านั้น แต่ยังช่วยให้เด็กๆ สามารถทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

คณะวิจัยทำการศึกษาเด็กจำนวน 75 คนที่อาศัยอยู่ใจกลางรัฐอิลลินอยส์ พวกเขาเปรียบเทียบระดับน้ำปัสสาวะของเด็กๆ และประสิทธิภาพทางการรู้คิดในระดับบรรทัดฐานปกติหลังจากเด็กๆ ดื่มน้ำเพียง 0.5 ลิตรต่อวันเป็นเวลา 4 วัน และหลังดื่มน้ำ 2.5 ลิตรต่อวันในระยะเวลา 4 วันเท่ากัน

ภาพจากอีจัน

ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่าเด็กที่มีระดับน้ำในร่างกายสูงขึ้นจะทำงานได้ดีขึ้นในบททดสอบการสลับงานที่ออกแบบมาเพื่อวัดความยืดหยุ่นทางความคิด (cognitive flexibility) นอกจากนี้เด็กๆ ยังสามารถทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น และมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วขึ้นในบททดสอบการสลับงานหลังจากดื่มน้ำมากขึ้น แต่งานวิจัยไม่พบความแตกต่างในบททดสอบที่ออกแบบมาเพื่อวัดสมาธิและการยับยั้งชั่งใจของเด็ก

ภาพจากอีจัน

ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ ฮิลแมน (Charles Hillman) มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น (Northwestern University) กล่าวว่า การค้นพบดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมด้านสุขภาพในวัยเด็ก เช่น การดื่มน้ำอย่างเพียงพออาจเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานทางความคิดที่ซับซ้อน รวมถึงหน่วยความจำในการทำงาน และความยืดหยุ่นทางความคิด เนื่องจากลักษณะของการรู้คิดเหล่านี้ทำให้เด็กๆ ประสบความสำเร็จในการเรียน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตโดยใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเพิ่มขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสมอง และทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพตลอดทั้งวัน” คณะวิจัยหวังที่จะสำรวจความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มน้ำกับประสิทธิภาพทางความคิดในเด็กโดยใช้การประมวลสมองในการวิจัยต่อไปในอนาคตเพื่อดูว่าโครงข่ายประสาทใดจะได้ประโยชน์จากการดื่มน้ำมากที่สุด อีกทั้งพวกเขายังต้องการศึกษาความสัมพันธ์ของการดื่มน้ำกับกระบวนการทางจิตใจอื่นๆ

ภาพจากอีจัน

“บททดสอบ 3 แบบที่เราวิจัยไม่ได้ครอบคลุมขอบเขตเกี่ยวกับกระบวนการรู้คิดที่หลากหลาย และยังมีการรู้คิดอื่นๆ ที่น่าสนใจต่อการวิจัยของเรา” ไนมาน ข่าน (Naiman Khan) ศาสตราจารย์ด้านการเคลื่อนไหวและสุขภาพชุมชนของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ผู้นำวิจัยกล่าว
ทั้งนี้ งานวิจัยฉบับนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเดอะ เจอร์นัล ออฟ นูทริชัน (The Journal of Nutrition)

ขอบคุณข้อมูลจาก /www.xinhuathai.com