วิจัยเผย ‘โลกร้อน’ เพิ่มภาวะเจ็บป่วยจากการขาดสารอาหาร

วิจัยชี้ อุณหภูมิของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น (ภาวะโลกร้อน) ส่งผลให้อัตราการเจ็บป่วยจากการขาดสารอาหาร เพิ่มขึ้นไปด้วย

วานนี้ 30 ต.ค. 2562 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า

งานศึกษาครั้งแรกของโลกโดยนักวิจัยชาวออสเตรเลียกล่าวเตือนว่า อุณหภูมิของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้อัตราการเจ็บป่วยจากการขาดสารอาหารและภาวะทุพโภชนาการเพิ่มสูงตามไปด้วย

ภาพจากอีจัน

ขณะที่งานศึกษาส่วนมากตรวจสอบภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อการกสิกรรมและความมั่นคงทางอาหาร กลุ่มนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโมนาช (Monash University) ตัดสินใจมุ่งศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างความร้อนและการเจ็บป่วยจากการขาดสารอาหาร

นักวิจัยสังเกตศึกษาการรักษารายวันในโรงพยาบาลร้อยละ 80 % ของบราซิล ระหว่างปี 2000-2015 และพบว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นทุก 1.0 องศาเซลเซียสในค่าเฉลี่ยรายวันของอุณหภูมิช่วงฤดูร้อน ส่งผลให้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากภาวะขาดสารอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5

การศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ พีแอลโอเอส เมดิซิน (PLOS Medicine) ระบุว่า “มีการคาดการณ์ว่าสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงจะทำให้ภาวะการมีอาหารเพียงพอ (food availability) ทั่วโลกลดลงร้อยละ 3.2 และทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการมีน้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐานถึง 30,000 คนภายในปี 2050”

“อย่างไรก็ดี สิ่งนี้อาจประเมินผลกระทบที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมีต่อความผิดปกติและการเสียชีวิตจากภาวะทุพโภชนาการในอนาคตต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากการศึกษาได้มองข้ามผลกระทบโดยตรงและผลกระทบระยะสั้นของอุณหภูมิที่สูงขึ้น”

“เราคาดการณ์ว่าการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลกว่าร้อยละ 15 อาจมีสาเหตุมาจากความร้อนในบราซิลตลอดช่วงระยะเวลาการศึกษา”

นักวิจัยเรียกร้องให้มีการปรับปรุงกลยุทธ์ระดับโลก เพื่อแก้ไขปัญหาระบบอาหาร การขาดสารอาหาร และความร้อน นอกจากนี้ พวกเขายังค้นพบว่าอายุและสถานภาพทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะทำให้บุคคลมีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร ในช่วงเวลาที่ความร้อนเพิ่มสูงขึ้น

งานวิจัยเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดต่อการลดความหิวโหยและการขาดสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง

“ความสัมพันธ์ระหว่างความร้อนที่เพิ่มขึ้นกับการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอันเนื่องมาจากภาวะโภชนาการต่ำ พบมากที่สุดในกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 80 ปี และเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 5-19ปี”

ขอบคุณข้อมูลจาก www.xinhuathai.com