เปิดกล้องป่าสลักพระ หายายบุญรอด

ภารกิจค้นหายายบุญรอดเข้าสู่วันที่ 11 แล้ว ยังไร้วี่แวว

4 พฤศจิกายน 62 นายไพฑูรย์ อินทรบุตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จ.กาญจนบุรี เปิดเผยความคืบหน้ากรณีค้นหานางบุญรอด หงอนทอง อายุ 68 ปี ที่เข้าไปเก็บเห็ดในห้วยมะไฟ ป่าสลักพระแล้วหายตัวไปตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 62 ที่ผ่านมา โดยปฏิบัติการค้นหาในป่า 11 วันยังไม่พบยายบุญรอด วันนี้นายไพฑูรย์ นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปค้นหาที่บริเวณลำห้วยมะไฟจุดที่หายไป หลังค้นหามาหลายวันแล้วแต่ไม่พบ ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่

แผนการค้นหาเจ้าหน้าที่ยังเน้นไปที่การเดินเท้าปูพรมค้นหาตามข้อมูลที่สามีให้กับทางเจ้าหน้าที่ และจะเปิดกล้องดักถ่ายสัตว์ป่าหรือกล้องอินฟราเรดในป่าตามจุดต่างๆ เพื่อจะดูว่ายายบุญรอดเดินผ่านหรือไม่ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตั้งสมมติฐานว่า หากยายบุญรอดโดนช้างป่าทำร้ายจะต้องเจอศพหรือร่องรอยอื่นๆ แต่หากยังมีชีวิตอยู่เหตุใดจึงไม่ได้ยินเสียงประทัดหรือเจ้าหน้าที่ทีมค้นหา เพราะมีชุดเดินป่าเดินลาดตระเวนมาหลายวัน แต่ก็ยังไม่พบเบาะแส

ส่วนทีมค้าหาของชาวบ้านวันนี้มีการปรับแผนค้นหาใหม่อีกครั้ง โดยเตรียมเสบียงอาหารไปเข้าพักค้างคืนในป่า ซึ่งจะตั้งแคมป์ที่บริเวณขอดูช้างเพื่อค้นหาวิธีของพรานป่า ส่วนสาเหตุที่เข้าไปพักค้างคืนในป่านั้นเนื่องจากการเดินทางเข้าออกลำบากและเต็มไปด้วยอันตรายจากช้างป่า ความพยายามของชาวบ้านเชื่อว่ายายบุญรอดยังมีชีวิต แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจมากว่า ทำไมยายบุญรอดถึงไม่ได้ยินเสียงคนออกตามหามาตลอด 11 วัน

ด้านนายอนุวัฒน์ สีสด อายุ 53 ปี สามีของยายบุญรอด วันนี้กลับเข้าป่าไปตามหาภรรยาตั้งแต่เมื่อช่วงเช้ามืด หลังกลับมาที่บ้านแล้วเล่าให้คนในครอบฟังว่า การตามหาภรรยาของตัวเองมาตลอดหลายวัน ยังไม่พบเบาะแสเพิ่มเติม ส่วนรอยเท้าที่พบในป่าก่อนหน้านี้ เป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมพบแต่รอยเท้าซ้ายข้างเดียวมาตลอด ตามความเชื่อของชาวบ้านคาดว่าอาจเป็นผีป่าทำหลอกเอาไว้

ขณะที่สถานการณ์ล่าสุด มีทีมค้นหาทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่เร่งเข้าไปค้นหายายบุญรอดในป่าสลักพระ พร้อมกับการพึ่งไสยศาสตร์ตามความเชื่อของชาวบ้าน ว่าในวันเกิดเหตุมีความชาวเข้าไปหาเห็ดในจำนานมาก เพื่อนำมาขายในเทศกาลเห็ดโคลน อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี แล้วส่งเสียงดังในป่าทำให้เจ้าป่าเจ้าเขาหรือผีสางนางไม้ไม่พอใจ รวมถึงยายบุญรอดกับสามีก็ทะเลาะกันในป่า ตามความเชื่อของชาวบ้านแม่นางไม้จึงลงโทษไม่ให้ออกจากป่า จนกว่าจะมีพิธีขอขมาแม่นางไม้ อย่างไรก็ดีความเชื่อดังกล่าวเป็นความเชื่อส่วนบุคคล