ย้อนเหตุการณ์เมื่อสองวันที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนลูกโม่เข้าชิงทรัพย์ภายในธนาคารไทยพาณิชย์ สาขากาญจนาภิเษก (บางแวก) เขตทวีวัฒนากรุงเทพฯ โดยคนร้ายใช้เวลาเพียงแค่ 46 วินาที สามารถหยิบเงินสดกว่า 300,000 บาทหลบหนี
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
แผนประทุษกรรมของคนร้ายกล้องวงจรปิดของธนาคารบันทึกภาพไว้อย่างชัดเจน รวมถึงกล้องวงจรปิดใกล้กับธนาคาร สามารถบันทึกตำหนิรูปพรรณของคนร้าย รวมถึงกล้องวงจรปิดใกล้ที่เกิดเหตุ พบรถยนต์กระบะต้องสงสัยหนึ่งคัน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
ภาพจากอีจัน
พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น. สั่งการให้ชุดสืบสวนของ บก.สส.บช.น. ชุดสืบสวนของ กก.สส.บก.น.7 และ ชุดสืบสวนของ สน.ศาลาแดง แยกย้ายกันหาข้อมูลจากพยานแวดล้อมโดยนำภาพผู้ต้องสงสัยจากกล้องวงจรปิดเป็นเบาะแส
ภาพจากอีจัน
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ ข้อมูลจากพยานแวดล้อมระบุชัดเจนว่า ผู้ต้องสงสัยขับรถยนต์กระบะไปจอดทิ้งไว้บริเวณหน้าเต็นท์ขายรถยนต์แห่งหนึ่ง ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียงแค่ 50 เมตร ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่ก่อเหตุชิงทรัพย์ธนาคาร
จากนั้นชุดสืบสวนจึงแยกกันไป ตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางของรถยนต์กระบะต้องสงสัย พบว่ารถยนต์กระบะคันดังกล่าว เลี้ยวเข้าไปในซอยเพชรเกษม 68
ทำให้ชุดสืบสวนทุ่มกำลัง โดยใช้วิธีเดินเท้าหาตำหนิรูปพรรณรถยนต์กระบะต้องสงสัย ตามภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิด
จนกระทั่งพบรถยนต์กระบะคันหนึ่ง ตำหนิรูปพรรณตรงกับรถยนต์กระบะต้องสงสัย จอดอยู่บริเวณลานจอดรถภายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ในซอยเพชรเกษม 68 แยก 8 ชุดสืบสวน จึงตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถยนต์กระบะคันดังกล่าวพบว่า คนใกล้ชิดของผู้ครอบครองรถยนต์มีตำหนิรูปพรรณตรงกับภาพของผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุ คือ นายกฤษฏา แก้วกูล อายุ 33 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.ห้วยข้าวก่ำ อ.จุน จ.พะเยา
ภาพจากอีจัน
ทันทีที่ชุดสืบสวนทราบห้องพักของผู้ต้องสงสัย ซึ่งได้รับการยืนยันว่ายังอยู่ภายในห้องพัก ชุดสืบสวนจึงจู่โจมเข้าควบคุมตัว โดยพบเสื้อผ้าบางชิ้น ตรงกับภาพจากกล้องวงจรปิดในวันเกิดเหตุ รวมถึงอาวุธปืนและเงินสดกว่า 10,000 บาท
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
นายกฤษฏา อ้างว่า เงินสดที่ได้จากการก่อเหตุบางส่วน นำไปใช้หนี้สิน
ส่วนสาเหตุที่ปล้นเนื่องจากต้องการเงินสดไปใช้หนี้ เพราะที่ผ่านมาค้าขายโทรศัพท์มือถือแต่กิจการไม่ดีและเป็นหนี้ จึงเลือกวิธิชิงทรัพย์ธนาคาร
โดยสั่งซื้ออาวุธปืนมาจากทางอินเตอร์เน็ตแล้วนำไปก่อเหตุ
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ก่อนหน้านี้ตำรวจตรวจสอบรูปพรรณคนร้ายมีลักษณะเดินโยกเยก จึงมีความเข้าใจว่า คนร้ายมีความพิการ ขาเป๋ 1 ข้าง ทำให้ลักษณะการเดินโยกเยก
เเต่ความจริงเเล้ว คนร้ายเเจ้งว่า ตนเองไม่ได้ขาเป๋ เเต่มีลักษณะการเดินโยกเยกมานานเเล้ว เกิดจากความชินของตนเอง