ลูกสาวอาม่าฮวย โต้เนรคุณฮุบเงินแม่ เชื่อครอบครัวพี่ชายอยู่เบื้องหลัง

ฟังอีกมุมศึกสายเลือด ลูกสาวอาม่าฮวย ลั่นไม่เคยคิดเนรคุณฮุบเงินแม่ แจงเงินในบัญชีที่ถูกอ้างมีเพียง 100 กว่าล้าน ไม่ใช่ 250 ล้าน เชื่อครอบครัวพี่ชายอยู่เบื้องหลัง เตรียมจ่อฟ้องกลับ

ศึกสายเลือด ปมความขัดแย้งระหว่างอาม่าฮวย ศรีวิรัตน์ ผู้เป็นแม่ กับ นางสาวมาวดี ศรีวิรัตน์ โดยอาม่าฮวยได้ยื่นฟ้องร้องธนาคารแห่งหนึ่ง หลังพบว่าช่วงที่ อาม่าฮวย ล้มป่วยจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบนางสาวมาวดี ลูกสาวแท้ๆ ร่วมมือกับพนักงานธนาคาร 4 คน ร่วมกันยักยอกเงินในบัญชีไปจำนวนประมาณ 250 ล้านบาท พร้อมกับถ่ายโอนทรัพย์สินอื่นๆ ไปหมดเกลี้ยง รวมมูลค่าความเสียหายมากถึง 350 ล้านบาท ตามที่ได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้นั้น

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
25 พ.ย. 62 นางสาวมาวดี ศรีวิรัตน์ พร้อมทนายกฤษฎา อินทามระ ได้ตั้งโต๊ะแถลงหลังถูกกล่าวหา โดยนางสาวมาวดี ระบุว่า ตนเองกับแม่อยู่ด้วยกันมา 50 ปี ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยจากกัน จนกระทั่งก๋งเสีย อาม่าก็ขอย้ายไปอยู่กับพี่ชาย ซึ่งตอนที่อาม่าอยู่กับตนอาม่าไม่สบาย ตนก็ดูแลแล้วก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่พออาม่าย้ายกลับไปอยู่กับพี่ชายเมื่อปลายปี 2559 ก็เกิดปัญหาขึ้นมา โดยช่วงที่อาม่าไปอยู่กับพี่ชายตน ตนก็ไปอาศัยอยู่ที่รีสอร์ทของลูกชายตนใน จ.เพชรบุรี ซึ่งก็ยังแวะไปเยี่ยมอาม่าอยู่เสมอ แต่กลับถูกกีดกันจากอีกฝ่าย ซ้ำยังมีมือที่สามเข้ามายุ่งเรื่องเงินของครอบครัว เพราะคิดว่าตนได้เงินมากกว่า ทั้งๆ ที่มรดก ก็แบ่งกันชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้มีมือที่สามที่ทำให้อาม่า รับข้อมูลที่ผิดเพี้ยน 
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
กระทั่งเดือนมิถุนายน 2560 มีหมายศาลคำฟ้องที่ระบุว่าตนเป็นลูกเนรคุณ และขอให้คืนที่ดิน 4 แปลงที่โอนให้ตนเมื่อปี 2557 ซึ่งนางสาวมาวดี ระบุว่า ที่ดินที่อาม่าโอนก็ไม่ได้โอนให้ตนแต่เพียงผู้เดียว พี่ชายของตนก็ได้ที่ดินจำนวน 4 แปลงนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งคดีนี้ตนเป็นฝ่ายชนะ สำหรับเรื่องที่เป็นประเด็นคือเรื่องเงิน 250 ล้าน ตนไม่ทราบว่าที่อาม่าคิดว่าตัวเองมีเงิน 250 ล้าน ตนไม่รู้ว่ามีคนบงการอาม่าอยู่หรือเปล่า ซึ่งขอเรียนตามจริงว่าเงินในบัญชีของอาม่าไม่ได้มีถึง 250 ล้านตามที่ปรากฏในข่าว แต่มีเพียง 100 กว่าล้านเท่านั้น
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ส่วนเงินที่ถอนออกมานั้น สืบเนื่องมาจากอาม่าฮวยล้มป่วยในปี 2557 กล้ามเนื้ออ่อนแรง เซ็นเอกสารไม่ได้ ตนได้นำใบรับรองแพทย์ไปปรึกษาธนาคารได้รับคำแนะนำว่าให้เปลี่ยนเงื่อนไขการสั่งจ่าย ซึ่งธนาคารได้มาสอบถามอาม่าถึงโรงพยาบาล ยืนยันว่าขณะนั้นอาม่ายังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และยอมเปลี่ยนจากลายเซ็นเป็นพิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นมีการถอนเงินไปเปิดบัญชีธนาคารออมทรัพย์ที่มีชื่อร่วมกันระหว่างอาม่าฮวยกับตน และซื้อกองทุนที่มีชื่อร่วมเช่นกัน รวมจำนวนเงินที่ถอนออกมาประมาณ 100 ล้านบาท เอกสารการเปลี่ยนแปลงจากลายมือชื่อเป็นลายพิมพ์นิ้วมือทำตามขั้นตอน รวมถึงตนมีใบรับรองแพทย์ถูกต้อง กระทั่งปี 2559 อากงเสียชีวิต ตนก็แยกตัวออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ทางครอบครัวจึงตกลงขายกองทุน โดยตนและพี่ชายแบ่งเงินไปคนละ 30 ล้านบาท ส่วนที่เหลือนำไปเป็นค่าเลี้ยงดูอาม่า ใช้จ่ายในครอบครัว จนหมดบัญชี และปิดบัญชีดังกล่าวไปหมดแล้ว ส่วนตัวยังยืนว่าไม่เคยคิดเนรคุณแม่ ตลอด 50 ปีที่อาศัยกับแม่มามีแต่ความรัก ช่วงที่แม่ป่วย ตนก็ดูแลอย่างดี ที่สำคัญไม่คาดคิดว่าแม่จะฟ้องร้องตนเองเช่นนี้ ยอมรับว่าเสียใจมาก ที่ไม่มีโอกาสปรับความเข้าใจหรืออธิบายเรื่องราวให้กับแม่ฟังเลย ตลอดระยะเวลาครอบครัวพี่ชายกีดกันไม่ให้พบหน้า และเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมีบุคคลที่สามคอยบงการอยู่เบื้องหลัง จึงทำให้แม่เข้าใจผิด "แม่คิดถึงนะ แม่ไม่น่ามาฟ้องหนูเลย ถ้าแม่ได้ฟังแม่คิดหน่อย หนูรักแม่มากที่สุด วันนี้จะไม่ร้องไห้แต่อดไม่ได้ ทำไมแม่ทำกับหนูขนาดนี้ เราอยู่กันมา 50 ปี ทำไมแม่ไปอยู่กับพี่ชายแม่เปลี่ยนไปขนาดนี้ ไม่เป็นไรหนูก็ยังรักแม่เหมือนเดิม" นางสาวมาวดี กล่าว
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
นางสาวมาวดี บอกด้วยว่า การออกมาให้ข่าวของครอบครัวพี่ชายทำให้ตัวเองถูกสังคมประณาม ว่าเป็นลูกเนรคุณ รวมถึงถูกด่าทอเสียหาย ขณะนี้อยู่ระหว่างปรึกษากับทนาย และรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อฟ้องกลับ ในข้อหาแจ้งความเท็จ เบิกความเท็จ หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์