นร.อกตัญญู เบี้ยวหนี้ กยศ. ครูคนค้ำก้มหน้ารับหนี้หมดตัว

นักเรียนเบี้ยวหนี้ กยศ. 60 คน ครูคนค้ำก้มหน้ารับหนี้หมดตัว

เรื่องราวของครู วิภา บานเย็น ครูผู้หวังดี จากโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.กำแพงเพชร ที่ยอมเซ็นต์ค้ำประกันหนี้ ในโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา หรือ กยศ.ให้กับนักเรียน

โดยตั้งใจว่า ทุนการศึกษานี้ จะส่งเด็ก ๆ ได้ร่ำเรียนจนจบ ส่งถึงฝั่งตามที่เขาฝัน แต่วันนี้ความหวังดีของครูวิภา กลายเป็นหอกที่กลับมาทำร้ายทิ่มแทง ตัวครูวิภา จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะเด็กกว่า 60 คน ที่ครูเซ็นต์ค้ำประกันหนี้ไว้ ผิดนัดไม่ชำระหนี้ จนกรมบังคับคดีนำประกาศยึดทรัพย์บ้านและที่ดินจากผู้ค้ำประกัน

ภาพจากอีจัน
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ครูวิภา บานเย็น อายุ 47 ปี ได้เผู้ค้ำประกันเงินกู้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ให้กับนักเรียนชั้น ม.4 และ ม.5 จำนวน 60 คน แต่ในจำนวนนี้กว่าครึ่งที่ผิดนัดไม่ชำระหนี้ จนมีบางส่วนคดีไปถึงชั้นศาลแต่ไม่สามารถไล่บี้เอากับผู้กู้ภาระจึงตกที่ผู้ค้ำ จนมีคำตัดสินยึดบ้านและที่ดิน

แต่ยังมีอีกหลายคดีที่กำลังจะตัดสินแต่ทรัพย์สินที่มีโดนยึดหมดแล้ว และหากไม่มีทรัพย์สินจะยึดก็จะถูกฟ้องล้มละลาย ซึ่งจะส่งผลต่อตำแหน่งข้าราชการได้


ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ครูวิภาเริ่มรับราชการเป็นครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.กำแพงเพชร จากนั้นได้มีโครงการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ขึ้น และได้รับความสนใจจากเด็กจำนวนมาก

แต่เนื่องจากกองทุนมีเงื่อนไขต้องมีผู้ค้ำประกัน ซึ่งเด็กบางคนพ่อแม่ไม่สะดวก ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ หรือการเดินทาง ด้วยความหวังดีอยากให้เด็กได้เรียนให้สูง เพื่อจะได้มีงานทำดีดี ครูวิภาจึงตัดสินใจลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันให้เด็กชั้น ม.4 ที่ตัวเองเป็นครูที่ปรึกษาอยู่จำนวนกว่า 60 คน ในปี 2541 และเมื่อเด็กทั้งหมดขึ้น ม.5 ครูวิภาก็ได้ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันให้เด็กทั้งหมดอีกครั้ง โดยยอดหนี้ประมาณ 1.2 หมื่นบาท/คน

ภาพจากอีจัน


เวลาผ่านไปกว่า 10 ปี ประมาณปี 2551 ครูวิภา ได้รับหมายศาลเกี่ยวกับเรื่องการขาดชำระของเด็กที่ได้ไปเป็นผู้ค้ำประกันให้ ตอนนั้นเมื่อหมายศาลมีชื่อใคร ก็พยายามติดตามให้ไปไกล่เกลี่ย แต่ถ้าติดตามใครไม่ได้ ครูวิภาเองก็ต้องไปศาลเอง นั่นหมายความว่า รายนั้นไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้ โดยหมายศาลที่ส่งมาเกินครึ่ง ไม่สามารถติดต่อนักเรียนได้ ส่วนคนที่ติดต่อและไปไกล่เกลี่ย ครูเองก็ไม่ทราบว่า ได้จ่ายครบตามที่ตกลงหรือไม่ เพราะไม่ได้ติดตามต่อ


กระทั่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา น.ส. วิภา เล่าว่า ได้มีเอกสารไกล่เกลี่ยเงินกู้ของนักเรียนมาอีกครั้ง เป็นของนักเรียนจำนวน 2 ราย โดยระบุว่าต้องนำเงินไปจ่ายหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมด

ซึ่งเมื่อไม่สามารถติดต่อเด็กให้มารับผิดชอบได้ ตนเองในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องหาเงินมาชำระแทนรวมเกือบ 4 หมื่นบาท และเมื่อวันที่ 16 และ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีเจ้าหน้าที่จากกรมบังคับคดีได้นำป้ายคำสั่งบังคับคดีมายึดบ้านและที่ดิน ซึ่งมีราคาประเมิน 1.3 ล้านบาท และที่ดินอีกแปลงที่มีการประเมินไว้ 6 แสนบาทโดยให้ส่งเอกสารภายใน 15 วัน

เมื่อตรวจสอบเอกสารก็พบว่าเป็นเอกสารหมายศาลบังคับคดีเร่ง การชำระเงินกู้ ของนักเรียนรายที่ 3 และรายที่ 4 เป็นการบังคับคดี เพื่อยึดทรัพย์สิน จากการเซ็นค้ำประกันร่วมเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน กยศ.

น.ส. วิภา กล่าวว่า ทำให้เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ตนจึงได้เดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ กยศ. เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อมูล แต่ก็ได้รับการชี้แจงเพียงว่าต้องชำระหนี้ เพื่อไม่ให้ถูกยึดทรัพย์สิน ซึ่งเป็นบ้านและที่ดิน สุดท้ายจำยอมต้องชำระเงินในส่วนของนักเรียนรายที่ 3 และรายที่ 4 ไปเป็นจำนวนเงินกว่า 50,000 บาท รวมจำนวนเงินที่ตนเองชำระไปก่อนหน้านี้ทั้งหมด 97,000 บาท โดยจะต้องนำเอกสารนี้ไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีที่ จ.กำแพงเพชร เพื่อให้ถอนการยึดทรัพย์สิน

แต่ตนก็ต้องตกใจเมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีนักเรียนที่ตนเป็นผู้ค้ำประกันอีกเกือบ 30 คนที่ไม่ชำระหนี้ และในจำนวนนี้มีนักเรียนผู้กู้อีก 4 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการเรื่องเอกสาร เพื่อเข้าสู่ขบวนการออกหมายศาลบังคับคดีเช่นกัน และจะดำเนินการส่งเอกสารหมายศาลบังคับคดีภายในปีนี้ ซึ่งก็อาจทำให้ทรัพย์สินที่เพิ่งถอนถูกคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินอีกครั้ง


น.ส. วิภา กล่าวว่า ตอนนี้เมื่อมาคำนวณหนี้ที่นักเรียนยังค้างกว่า 30 คนเป็นเงินหลักล้านบาทแล้ว ทั้งที่เงินต้นของแต่ละคนแค่หลักหมื่นต้นๆ แต่เมื่อไม่มีการชำระจึงมีดอกเบี้ยและค่าปรับจนยอดเงินสูงจนทบต้นไปมาก ซึ่งตนคงไม่มีเงินที่จะจ่ายแทนได้ทั้งหมด

ดังนั้นทรัพย์สินที่มีก็อาจโดนยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด และเมื่อไม่มีทรัพย์สินให้ยึดก็อาจถูกฟ้องล้มละลายหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น อาชีพครูก็จะสิ้นสุดลงเช่นกัน

ถึงตอนนี้ครูวิภาและคณะครูยังได้ติดตามนักเรียนผู้กู้ ซึ่งบางรายก็ยอมรับตรงๆ ว่าไม่มีเงิน ทั้งที่ตัวเองทำงานและยังดำเนินชีวิตสวยหรู และสามารถผ่อนรถได้ บางรายไม่โทรศัพท์กลับมาพูดคุย จึงอยากฝากถึงลูกศิษย์ผ่านสื่อให้ช่วยมารับผิดชอบในเรื่องนี้เพราะตนลำบากอย่างมาก

นอกจากนี้อยากขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะตนเองไม่สามารถรับผิดชอบหนี้สินทั้งหมดได้ โดยตนได้ปรึกษาเจ้าหน้าที่ กยศ. และได้ทำหนังสือปลดภาระผู้ค้ำประกันให้ญาติของเด็กเป็นผู้รับภาระค้ำประกันแทน ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกจะยื่นเรื่องให้ฝ่ายบริหารตัดสินใจ

ภาพจากอีจัน

ล่าสุดหลังจากครูวิภา ได้ร้องกับสื่อมวลชนจนเป็นข่าวที่วิพากษ์กันกว้างขวาง ทาง กยศ ได้พิจารณา และได้ยื่นระงับบังคับคดีครูวิภาชั่วคราว เพื่อเร่งสืบทรัพย์ลูกหนี้ ทั้งนี้กรณีของ ครูวิภา เป็นเคสเเรกที่ค้ำประกันให้นักเรียนถึง 60 คน

ทั้งนี้ กรณีของครูวิภา เป็นเคสเเรกของกยศ.ที่พบว่าครู 1 คน ค้ำประกันถึง 60 คน ซึ่งเกณฑ์ของกยศ.ที่กำหนดไม่จำกัดจำนวนนั้น ก็คาดว่าครู 1 คนน่าจะค้ำประกันไม่เกิน 2 คน


ทั้งนี้พบว่า ลูกหนี้ 60 คนของครูวิภา แบ่งเป็นปิดบัญชีไปเเล้ว 28 คน ครูปิดบัญชีให้ 4 คน ชำระเงินปกติ 6 คน เหลือ 22 คนที่กยศ.จะเตรียมฟ้องร้องบังคับคดี


ด้านนางสาววิภา กล่าวว่า ตนยังรู้สึกกังวลใจ เพราะหากเจ้าหน้าที่สืบทรัพย์รายอื่นไม่ได้ ตนก็ต้องกลับมาชำระหนี้ตามเดิม

จึงยื่น 2 ข้อเสนอให้กับกยศ. ได้แก่ การให้เปลี่ยนภาระหนี้ให้เป็นของผู้กู้หรือผู้ปกครองเเทน เเละหากลูกศิษย์มาชำระต้องให้ระบุว่าจ่ายในส่วนของตนก่อน ซึ่งกยศ.ก็จะนำไปประชุมอีกครั้ง

ทั้งนี้ภายหลังที่เป็นข่าว มีลูกศิษย์ 2 คนโทรมาขอโทษ โดยอ้างว่าไม่คิดว่าจะทำให้ครูลำบากขนาดนี้ และ 1 ใน 2 ก็ได้ปิดบัญชีไปเเล้ว ที่ผ่านมาตนได้ติดต่อไปยังลูกศิษย์ทั้ง 60 คน เเต่ติดต่อได้ไม่ถึง 10 คน ก็รู้สึกเสียใจ เพราะความหวังดีของตนที่อยากให้ลูกศิษย์ทุกคนได้เรียนต่อสูงๆ เเต่กลับทำให้ตนลำบาก

ซึ่งคุณครูสามารถดำเนินการฟ้องศาลแพ่งเรียกค่าใช้จ่ายที่ดำเนินการจ่ายให้นักเรียนได้ โดยจะต้องผ่านกระบวนการชำระหนี้ของทาง กยศ. เสร็จสิ้นก่อนหมายเหตุ