เปิดประวัติ หลวงพ่อพีร์ อธิบดีสงฆ์ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

เปิดประวัติ หลวงพ่อพีร์ อธิบดีสงฆ์ องค์ที่ 19 ของวัดมหาธาตุฯ ผู้สนับสนุนงานสมโภช 338 ปี วัดมหาธาตุฯ ครั้งแรกของวัด

พระพรหมวชิราธิบดี หรือในนามเดิม พีร์ ผ่องสุภาพ และที่รู้จักในฉายา สุชาโต นับเป็นหนึ่งในพระภิกษุที่มีบทบาทสำคัญในวงการคณะสงฆ์ของไทย โดยท่านเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองฝ่ายมหานิกาย และยังดำรงตำแหน่งสำคัญอื่นๆ เช่น อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร และเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทอันสำคัญของท่านในการนำพาศาสนาพุทธในไทยให้เจริญก้าวหน้า

ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2473 ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้เข้าสู่พระภิกษุสงฆ์เมื่ออายุครบ 20 ปี โดยมีพระโพธิวงศาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวิกรมมุนี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และได้รับฉายา “สุชาโต” ซึ่งหมายถึง “ชาติกำเนิดที่ดีงาม”

ในด้านการศึกษา ท่านมีความรู้ทางศาสนาที่สามารถผ่านการสอบได้ถึงระดับเปรียญธรรม 5 ประโยค และยังได้รับปริญญาโททางวิชาพระพุทธศาสนาจากประเทศอินเดียอีกด้วย

พระพรหมวชิราธิบดี (พีร์ สุชาโต)

ท่านมีบทบาทสำคัญในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ โดยเริ่มจากตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. 2532 และต่อมาได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเป็นเป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ.2544 และสุดท้ายคืออธิบดีสงฆ์(เจ้าอาวาสพระอารามหลวง) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ในปี พ.ศ.2548 ท่านไม่เพียงแต่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังมีบทบาทเด่นในการบริหารจัดการและพัฒนาคณะสงฆ์อย่างต่อเนื่อง

ในฐานะที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร พระพรหมวชิราธิบดีได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและความเข้าใจที่ลึกซึ้งในศาสนา ท่านเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ซึ่งสะท้อนถึงการเชื่อมโยงระหว่างศาสนาและการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญ

ในด้านการเผยแผ่ศาสนา ท่านดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่กองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย และเป็นพระอุปัชฌาย์ ประเภทวิสามัญ ซึ่งมีหน้าที่ในการบรรพชาและอุปสมบท กุลบุตรกุลธิดา ในเขตปกครองทางคณะสงฆ์ที่ท่านรับผิดชอบ

สำหรับสมณศักดิ์ของท่าน ได้เริ่มจากตำแหน่งฐานานุกรมที่พระครูปลัดสุวัฒนสัทธาคุณ ในปี พ.ศ.2532 และได้รับการเลื่อนขั้นสมณศักดิ์อย่างต่อเนื่องจนถึงระดับพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฎ ในปี พ.ศ.2559 และในที่สุดท่านได้รับพระราชทานราชทินนามเป็นพระพรหมวชิราธิบดี ในปี พ.ศ.2565

พระพรหมวชิราธิบดี (พีร์ สุชาโต)

นอกจากนี้ ท่านยังได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ อาทิ เครื่องราชอิสริยาภรณ์สหไมตรี ชั้นมหาเสนา จากประเทศกัมพูชา ในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงการยอมรับและเกียรติยศของท่านในระดับนานาชาติ

ความทุ่มเทและความมุ่งมั่นของพระพรหมวชิราธิบดีในการปฏิบัติหน้าที่ทางสงฆ์ การบริหารงานคณะสงฆ์ และการเผยแผ่ศาสนาพุทธ ได้สร้างแรงบันดาลใจและเป็นต้นแบบให้กับพระภิกษุและสามเณรในรุ่นต่อๆ ไป พระองค์ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่เคารพนับถือ แต่ยังเป็นผู้สร้างอิทธิพลในการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมไทยในมิติที่กว้างขวาง

การดำรงตำแหน่งและการเป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตน และการปฏิบัติธรรมของพระพรหมวชิราธิบดี ได้สะท้อนถึงคุณค่าและความสำคัญของศาสนาพุทธในสังคมไทย ซึ่งเป็นทั้งแหล่งของความเชื่อมั่นทางจิตวิญญาณและแหล่งแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตที่ดีและมีคุณธรรม ทั้งนี้ พระพรหมวชิราธิบดีได้ทิ้งมรดกทางจิตวิญญาณและความรู้ที่ล้ำค่าให้แก่สังคมไทยและคณะสงฆ์ ซึ่งจะถูกถ่ายทอดต่อไปอย่างไม่รู้จบสิ้น

พระพรหมวชิราธิบดี (พีร์ สุชาโต)