คุก 10 เดือน สุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน สุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม จำคุก 10 เดือน ห้ามดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี ปลัดสุพจน์ ร่ำรวยผิดปกติ

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน สุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม จำคุก 10 เดือน
ห้ามดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี #ปลัดสุพจน์ ร่ำรวยผิดปกติ


วันที่ 18ตุลาคม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์รวม 9 คน นัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์คดี "นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม" อายุ 65 ปี อดีตปลัดคมนาคมระหว่างปี 2552-2554 ในฐานความผิดจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน

ภาพจากอีจัน

คดีนี้เกิดขึ้น เมื่อปี 2555 ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดข้อกล่าวหานายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จเกี่ยวกับเงินจำนวน 17,553,000 บาทเศษ และรถโฟลค์สวาเกน (Volk Swagen) ทะเบียน ฮต 8822 กทม. รวมมูลค่าทั้งสิ้น 20,473,000 บาท

ภาพจากอีจัน

ที่น่าตกใจคือ เรื่องมันแดงเพราะ เกิดเหตุคนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ ในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย.และพบเงินสดในบ้านนายสุพจน์นับร้อยล้านบาท โดยนายสุพจน์ ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงิน 17 ล้านบาทเศษ และรถโฟลค์สวาเกน (Volk Swagen) ทะเบียน ฮต 8822 กทม.ได้ ทำให้นายสุพจน์ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดข้อกล่าวหานายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ

ภาพจากอีจัน

และวันนี้ "องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คน" พิจารณาแล้วมีมติเสียงข้างมาก เห็นว่าตามกฎหมายป.ป.ช. พ.ศ.2542 ต้องยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและเอกสารประกอบนั่น เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์มิชอบ แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินทั้ง 2 รายการทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับสูง ควรต้องเป็นตัวอย่างที่ดี แต่กระทำผิดเสียเองจึงนับว่าพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง แม้ผู้คัดค้านไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และเคยประกอบคุณงามความดีปฏิบัติหน้าที่ราชการจนได้รับตำแหน่งระดับสูง ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอให้รอการลงโทษ อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้จำคุก 10 เดือน และห้ามดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี โดยให้ออกหมายขังผู้คัดค้านตามคำพิพากษาถึงที่สุดและให้คืนหลักประกัน 2 ล้านบาทกับผู้คัดค้าน

ภายหลัง เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้ควบคุมตัวนายสุพจน์ ขึ้นรถเรือนจำไปควบคุมต่อที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เพื่อรับโทษตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ทางครอบครัวและญาติที่เดินทางมาให้กำลังใจได้ร่ำไห้เข้าไปกอดนายสุพจน์ ขณะที่นายสุพจน์เองก็มีสีหน้าเศร้าน้ำตานอง จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็คุมตัวไปคุมขังรับโทษยังเรือนจำตามคำพิพากษา

การต่อสู้ในชั้นพิจารณาคดี นั้น นายสุพจน์ได้ต่อสู้ว่า เงิน 17 ล้านบาทเศษ และรถโฟลค์สวาเกน (Volk Swagen) ไม่ใช่ของตน รถโฟลค์สวาเกนเป็นของนายเอนก จงเสถียร นักธุรกิจฟิล์มถนอมอาหาร และได้คืนให้กับนายอเนกไปแล้ว ต่อมาภายหลังนายเอนกได้มอบรถคันดังกล่าวให้กับวัดแห่งหนึ่งเพื่อใช้ประกอบกิจของสงฆ์


ส่วนเงินจำนวน 17 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นของกลางที่คนร้ายอ้างว่าปล้นมาจากบ้าน หลังเกิดเหตุตนได้แจ้งความว่าเงินหาย 5,068,000 บาทโดยเป็นเงินสินสอดในงานแต่งบุตรสาว และภายหลังเสร็จสิ้นพิธีก็ได้คืนให้กับบุตรสาวและบุตรเขย จึงไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สิน 2 รายการนี้ นอกจากนี้ การไต่สวนของป.ป.ช.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ชี้มูลความผิดให้ตนได้แก้ข้อกล่าวหา แต่มาดำเนินการภายหลัง

ภาพจากอีจัน


แต่ชั้นพิจารณาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เห็นว่าเงินที่เกิดเหตุปล้นเมื่อวันที่ 12 พ.ย.54 นั้น ตามคำให้การของคนร้าย ฟังได้ว่า นำไปแต่เงินสดจำนวนมากที่ "นายสุพจน์" เก็บไว้เท่านั้น ไม่ได้นำเงินสินสอดไปด้วย จึงเชื่อว่าจำนวนเงินที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จฯ จำนวน 17,553,000 บาทนั้นเป็นเงินก้อนเดียวกับที่ถูกปล้นบ้าน ไม่ใช่เงินสินสอด
ส่วนรถโฟล์คสวาเกน มูลค่า 3 ล้านบาท ที่นางนฤมล ภรรยานายสุพจน์ อ้างว่า เป็นรถที่นายเอนก จงเสถียร มอบให้เป็นค่าตอบแทนที่ช่วยเหลืองานสอนเด็กและเผยแพร่ศาสนานั้น เห็นว่าระยะเวลาการไปช่วยงานเพียง 2 เดือนและเป็นการช่วยงานเพียงครั้งคราว แต่กลับได้รถมูลค่าถึง 3 ล้านบาท และยังมีหลักฐานว่าในการชำระเงินซื้อรถ ซึ่งนายอเนกได้มอบเงินให้กับนางนฤมลหลายครั้ง ซึ่งมีพิรุธและเสี่ยงต่อการสูญหาย อีกทั้งการจดทะเบียนเลขทะเบียน ก็เป็นเลขกลุ่มเดียวกับเลขทะเบียนรถของบุตรสาวนายสุพจน์ แต่ไม่ใกล้เคียงกับกลุ่มรถของนายอเนกที่มีอยู่หลายคัน

ศาลเห็นว่า แม้จะมีทรัพย์สินเพียง 2 รายการ แต่พฤติการณ์แสดงให้เห็นว่านายสุพจน์ไม่ประสงค์ที่จะให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบทรัพย์สินหลังจากการพ้นตำแหน่ง ประธานบอร์ด รฟท. , บอร์ดการบินไทย, ประธานบอร์ด รฟม. ครั้งที่ 3 และการพ้นจากตำแหน่งปลัดคมนาคม กับการพ้นจากตำแหน่งปลัดคมนาคมมาแล้ว 1 ปี ซึ่งเป็นการจงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ รวม 5 ครั้ง ในทรัพย์สินชุดเดียวกัน