แม่น้องชมพู่ เปิดใจกับสื่อครั้งแรก เลือกไม่ได้เพราะเราคือคนที่สูญเสีย

ครอบครัวน้องชมพู่ เปิดใจกับสื่อครั้งแรกหลังศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาในคดีของน้องชมพู่ พวกเราเลือกไม่ได้เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วชมพู่ตายไปแล้ว เราคือคนที่สูญเสีย

วันนี้ (31 ต.ค.66) ที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร ทางครอบครัวน้องชมพู่เดินทางมาตามคำนัด พร้อมเปิดใจกับสื่อครั้งแรกหลังศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา

ทางแม่น้องชมพู่พูดกับสื่อว่า เรื่องเสื้อผ้าชมพู่ ไม่มีดีเอ็นเอจำเลย แม่บอก น้องยังถอดเสื้อผ้าเองไม่เป็น ฉี่รดกางเกงอยู่ เคยพยายามถอดเอง เหมือนกำลังฝึก แม่ไม่ขออธิบายเรื่องเสื้อผ้าที่ถูกวางอยุ่ แต่ขออธิบายว่าลูกของแม่ไม่สามารถถอดเสื้อผ้าเองได้ เอาจริงๆ ต้องถามลุงพลว่าลุงพลเข้าใจว่าช่วงเวลาที่น้องหายตัวไป คือเวลาไหน

และแม่น้องชมพูยังบอกอีกว่า เมื่อวานมีประชาชนที่เขาคอยลุ้นผล หลายคนก็ผิดหวัง หลายคนประนามกระบวนการยุติธรรมบ้าง แม่อยากจะบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกนะบวนการยุติธรรม เหตุผลที่ศาลเลื่อนท่านก็คงเลื่อนตามความจำเป็น ไม่มีคดีไหนที่ศาลอยากถูกครหา

แม่เชื่อว่าเราน่าจะได้รับความยุติธรรม เพราะว่าเราก็รอมานาน หลายสิ่งหลายอย่างก็ถูกเปิดในศาล เรามองว่าสิ่งที่เราเห็น ค่อนข้างมั่นใจว่าการตายของชมพู่ เป็นความรู้สึกของคนในครอบครัวที่ไม่สามารถคุยกันได้เลย ว่าน้องตายยังไง คุยกับสามีไม่ได้เลย ต่างคนต่างกลัวกระทบจิตใจ ทั้งสะดิ้งด้วย

ถึงแม้วันหนึ่งเขาบริสุทธิ์ เราก็สูญเสียตลอดชีวิต

ในส่วนของพ่อ พ่อบอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามข่าว มันก็ไม่ได้รู้ไปทุกอย่าง เขาก็รู้ตามที่ได้พบได้เจอ

ก็ยังคิดถึงน้องทุกวัน อยากให้คนร้ายได้รับการลงโทษ คิดเหมือนแม่ว่ามีคนตายก็มต้องมีคนทำ

ทางด้านทนายพิสิษฐ์ ตรัยเจริญเมธากุล ทนายความครอบครัวน้องชมพู ได้เผยว่าในเรื่องคดีนี้เรื่องดีเอ็นเอ ไม่ได้มองแค่จุดนั้นจุดเดียว

ไม่ใช่งว่าไม่พบดีเอ็นเอของจำเลย จะตัดสินไม่ได้ เพรามันยังต้องมีพยานหลักฐานอื่นๆประกอบ ไม่ใช่แค่เรื่องเส้นผมอย่างเดียว พยานหลายปากที่เชื่อมโยงกัน จนนำมาสู่การตรวจนิติวิทยาศาสตร์ และเพียงแต่มีหลายส่วนประกอบในนั้น พยานหลักฐาน พยานนิติวิทยาศาสตร์

ผมเชื่อมั่นพยานหลักฐานที่นำสืบของโจทก์ ผมคิดว่าเป็นพยานหลักฐานที่ดี ถ้าเป็นบวกฝั่งเรา ก็ต้องให้ทางจำเลยยื่นอุทธรณ์กันไปและพยานหลักฐานนำสืบมาทั้งหมด ก็นำสืบออกมาได้ดี และตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ถือว่านำสืบได้ดีตามที่จำเลยฟ้องแม้ว่าไม่มีประจักษ์พยานในคดี แต่ก็ใช่ว่าไม่สามารถลงโทษจำเลยได้อาชญากรรมจะทิ้งร่องรอยเสมอ

ในฝั่งของเรื่องสุนัข โดยหลักแล้วสุนัขไม่เคยทิ้งคนนะ มีแต่คนจะทิ้งสุนัข การที่สุนัขจะพาเด็กไป เป็นไปไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่สุนัขจะทิ้งคน

มีพยานผู้เชี่ยวชาญทั้ง 2 ฝั่ง แม้กระทั่งทางโจทก์นำสืบกับทางพนักงานอัยการ เด็กกินข้าวแค่นี้ จะเดินได้แค่ไหน ระยะทางยังไง พื้นที่รกไหม เป็นไปไม่ได้ที่เด็กจะเดินขึ้นไปบนภูเหล็กไฟเอง เพราะเป็นป่ารกทึบและมืด ไม่มีความจำเป็นที่เด็กจะขึ้นไปด้วยสัญชาตญาณเด็กกลัวความมืดน้องไม่ขึ้นไปอยู่แล้ว

คดีนี้มีการระมัดระวังของเจ้าหน้าที่บางคนว่าทำไมช้า ก็ช้าเอาชัวร์ ทุกอย่างมันมีกระบวนการของมัน อยู่ไม่ใช่ว่าคดีที่ไม่มีประจักษ์พยาน จะลงโทษไม่ได้ พฤติการณ์ประกอบการกระทำสำคัญมาก และรวมถึงพยานแวดล้อมที่ใกล้ชิด ในช่วงเหตุการณ์นั้นก็สำคัญเช่นกัน

ซึ่งศาลจังหวัดมุกดาหาร ได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาในคดีของน้องชมพู่จากเดิม วันที่ 31 ต.ค. 66 เลื่อนเป็นวันที่ 20 ธ.ค. 66 เวลา 10.00 น. โดยให้เหตุผลในการเลื่อนอ่านคำพิพากษา ว่า การร่างคำพิพากษายังไม่แล้วเสร็จ และ เอกสารยังไม่เสร็จสมบูรณ์

ใครฆ่าน้องชมพู่ คำนี้ยังคิดเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย?

ติดตามกันต่อที่อีจัน เราจะอัปเดตทุกความเคลื่อนไหว เพื่อที่จะรู้ความจริงเรื่องนี้ค่ะ

คลิปอีจันแนะนำ
แม่น้องชมพู่ เชื่อ ได้รับความเป็นธรรม คดีน้องชมพู่