“ทนายพัช” ปฏิเสธข้อกล่าวหา ยันไม่เคยส่งกระเป๋าก้อยให้แก้ว

ทนายพัชปฏิเสธข้อกล่าวหา เผย ยังเป็นทนายของ แอมไซยาไนด์ ยัน “ไม่เคยส่ง” กระเป๋า น.ส.ก้อย ไปให้ น.ส.แก้ว เตรียมพิจารณาฟ้องตำรวจ และสื่อมวลชน

จากกรณีที่ ทนายพัช เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันทำลายพยานหลักฐานที่ กองบังคับการปราบปราม เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

อดีตทนายแอมไซยาไนด์ ดอดเข้ารับทราบข้อกล่าวหา หลังเบี้ยวนัด 2 รอบ

น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ “ทนายพัช” ทนายความของ น.ส.สรารัตน์ หรือ แอม ผู้ต้องหาคดีวางยาฆ่าชิงทรัพย์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หลังเข้าพบพนักงานสอบสวนราว 2 ชั่วโมงครึ่ง เผยว่า วันนี้พนักงานสอบสวนถามเพียงประเด็นเดียว คือ การให้คำแนะนำผู้ต้องหา ส่งกระเป๋าซึ่งเป็นทรัพย์สินของ น.ส.ก้อย ไปให้ น.ส.แก้ว ซึ่งได้ให้การปฏิเสธ

ส่วนการให้คำแนะนำกับลูกความ มีข้อกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว แต่ลูกความจะตัดสินใจอย่างไรเป็นดุลยพินิจของลูกความ ยืนยันว่าเป็นการทำตามหน้าที่ให้ความแนะนำตามกรอบของกฎหมาย และไม่เคยส่งของไปที่บ้านของ น.ส.แก้ว รวมถึงไม่รู้ว่าบ้านของ น.ส.แก้วมีกี่แห่ง พร้อมบอกให้ดูปากนะคะ “ไม่เคยส่งค่ะ”

ทนายพัช ยังตั้งข้อสังเกตุว่า การที่ตนเองถูกแจ้งข้อกล่าวหา อาจเป็นความพยายามของผู้ต้องหาอีกราย อดีตสามีแอม หรือ (รองออฟ) ที่ต้องการจะถอดตนเองออกจากการเป็นทนายความของแอม เนื่องจากรู้ความลับบางอย่างของลูกความ จึงได้ซัดทอดข้อหาดังกล่าวให้กับตน พร้อมได้นำเอกสารแต่งตั้งทนายความ ที่ศาลอาญารัชดา เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา มาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน เพื่อยืนยันว่า แอมเป็นคนแต่งตั้งให้ตนเองเป็นทนายความหลักแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีทนายคนอื่นเข้ามาร่วมทำคดี ก็ต้องรับฟังทนายหลัก ที่เป็นคนแรกในการเข้ามาดูคดี รวมถึงการกระทำต่างๆ ต้องผ่านการยินยอมจากทนายหลักก่อน เพราะไม่อย่างนั้นจะถือเป็นการแย่งคดี ซึ่งมีกระแสข่าวว่าทนายคนดังกล่าว ได้ถูกแอมถอดถอนออกไปแล้ว

ส่วนประเด็นที่ น.ส.แอม จะมีการฟ้องหมิ่นประมาทบุคคลต่าง ๆ ทั้งพิธีกรและสื่อมวลชน ทนายพัช เผยว่าเรื่องนี้อยู่ระหว่างหารือกับกลุ่มทนายใจดี แต่ยืนยันว่าขณะนี้เตรียมจะฟ้องร้องอย่างแน่นอน ซึ่งตนยืนยันว่าการทำหน้าที่ของทนายความมีหน้าที่ไปศาล ไม่ใช่มีหน้าที่ไปออกสื่อ

ส่วนการฟ้องร้องตำรวจ นอกจากมาตรา 157 แล้ว จะใช้มาตราใหม่คือ พ.ร.บ.อุ้มหาย เข้ามาเพิ่มเติม ส่วนทนายพัชเองก็จะมีการฟ้องร้องหมิ่นประมาทกับสื่อบางสำนักด้วย ยืนยันไม่กังวลในประเด็นที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. จะใช้ทนายความช่วยคดีคนที่จะถูกฟ้อง

ส่วนกระแสสังคมที่โจมตีตัวเองในประเด็นต่าง ๆ มองว่าเป็นการทำคดีสวนกระแสสังคม เป็นปกติที่คนจะมองว่าตนเป็นคนไม่ดี แต่ยืนยันว่าไม่กังวลและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งภายในสัปดาห์หน้าตนจะเข้าพบ น.ส.แอม อีกครั้งที่ทัณฑสถานหญิงกลางเพื่อสอบถามแนวทางการดำเนินคดีเพิ่มเติม

ส่วนกรณีที่แอมเตรียมฟ้องร้องผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรชื่อดัง สื่อมวลชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือของกลุ่มทนายใจดี แต่ยืนยัน มีการฟ้องแน่นอน โดยในวันที่ 1 มิ.ย. นี้ ศาลจะทำเรื่องขอเบิกตัวแอมมาขึ้นเบิกความในชั้นศาล กรณีคดีฟ้องหมิ่นประมาท นายรพี ชำนาญเรือ

ทนายพัช ยังเปิดเผยอีกว่า แอมในทัณฑสถานหญิงกลาง สภาพอ้วนถ้วนสมบูรณ์ดี ท้องใหญ่ขึ้น ไม่ได้ผอมโซ หรือทำร้ายตัวเองตามที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ พร้อมบอกให้สื่อมวลชนรอดูแอมในวันที่ 1 มิ.ย. ว่าจะสวยขนาดไหน

พร้อมยืนยันคำให้การเดิม ถ้าจะบังคับให้รับสารภาพมันก็ไม่ถูกต้อง เเอม ไม่ได้รับตั้งเเต่เเรกเลย เขาไม่ได้ทำจริงๆ พยานหลักฐานเรามี ทุกอย่างพิสูจน์ได้ ไม่สามารถโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนความตั้งใจ ถ้าเขาตั้งใจจริง

“ทนายที่ยืนอยู่จุดนี้ ต้องเเข็งเเกร่ง มั่นคง เเละมั่นใจในสิ่งที่ทำว่าถูกต้อง ถ้าหากเรานำในทางที่ถูกมันก็ถูก พัชขอเเบบใสๆ ธรรมดาเเบบนี้ดีกว่า”

ขณะที่ นายไชยา คุ้มอ่ำ ทนายความของทนายพัช เปิดเผยว่า วันนี้พา ทนายพัช เดินทางมาเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา และยืนยันความบริสุทธ์ เนื่องจากไม่มีส่วนไหนเลยที่ทนายพัชเกี่ยวข้องกับความผิดของแอม ยืนยัน ทนายพัชทำงานด้วยความสุจริต ตรงไปตรงมา

ส่วนประเด็นเรื่องการส่งของหรือไม่ได้ส่งของ ไม่ได้เป็นสาระในคดี หากตำรวจมีพยานหลักฐานก็ควรส่งไปตรวจสอบ

ด้าน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เผยว่า เบื้องต้นจากการสอบปากคำทนายพัช เจ้าตัวให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และให้การแย้งในประเด็นต่าง ๆ ที่พนักงานสอบสวนสงสัย ซึ่งคำให้การต่าง ๆ ค่อนข้างขัดแย้งกับข้อมูลการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ และไม่สามารถหักล้างประเด็นต่าง ๆ ในคดีได้ และยืนยันว่าพยานหลักฐานที่ใช้ดำเนินคดีกับทนายพัช

ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่าตำรวจ เตะตัดขาทนายความ มีความชัดเจนว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์เกินกว่าการเป็นทนายความและเกินกว่าขอบเขตตามมรรยาททนายความ จึงถือว่าเป็นการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการทำลายพยานหลักฐาน ทั้งนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าบุคคลที่ให้ปากคำซัดทอดมาถึงตัวทนายพัช แต่ยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวมั่นใจในคำให้การและตำรวจสามารถสืบสวนสอบสวนจนหาพยานหลักฐานมายืนยันคำให้การดังกล่าวได้ และถึงแม้ น.ส.แอม จะให้การพลิกไปพลิกมาในแต่ละครั้งที่มีการสอบปากคำ ก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อตัวผู้ต้องหาเอง เพราะจะทำให้คำให้การของผู้ต้องหาเสียน้ำหนักทางรูปคดีและทำให้ศาลไม่เกิดความเชื่อถือ

ส่วนกรณี ที่ทนายความของแอม แสดงความมั่นใจว่า น.ส.แอม จะออกมาแจ้งความเอาผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจในข้อหาความผิดเกี่ยวกับ มาตรา 157 และกฎหมายใหม่ที่เพิ่งถูกประกาศใช้ เป็นสิทธิ์ที่ผู้ต้องหาสามารถทำได้