ทนายอนันต์ชัย และ นาง เรวดี ภรรยาของ นายศุภชัย ชายที่กระโดดตึกศาลอาญาเสียชีวิต เข้ายื่นอุทธรณ์ขอเป็นโจทก์ร่วมในคดีน้องเต้ลูกชายถูกเเทงเสียชีวิต ช่วงสงกรานต์ ปี 59
ได้เดินทางมายื่นคำร้องอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำที่ อ.2103/2561 ขอเป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายณัฐพงษ์ หรือ “โจ้” เวินคีรี ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา,ร่วมกันพกพาอาวุธฯ
ซึ่งเท่ากับว่าพยานปาก นายตง ให้การต่อพนักงานสอบสวนถึง 3 ครั้ง ขณะที่ให้การก็ไม่มีอาการมึนเมา โดยนางตงเอง ก็ยืนห่างจากจุดที่เกิดเหตุไม่เกิน 1เมตร ได้ยินเสียงพูดของน.ส.ณัฐนรี (ขอสงวนนามสกุล) เพื่อนหญิง ของจำเลย พูดกับผู้ตายได้ชัดเจน
อีกทั้งยังมีพยานอีกหลายปากที่เบิกความถึงเเสงสว่างในที่เกิดเหตุ ซึ่งมีเพียงพอ และขณะชี้ตัวมี นายสุวิทย์ บิดานายตง มาอยู่ด้วยขณะชี้ตัว คำให้การจึงน่าเชื่อถือ
ซึ่งจะเห็นได้ว่าข้อเท็จจริง มีการรับว่า นายโจ้ จำเลยกระโดดถีบเเละต่อย นายเต้ ผู้ตาย ต่อมา ก็มีการเเทงกัน พยานจึงต้องมีความผิดฐาน เป็นตัวการร่วม
เนื่องจากการเเทงกัน เหตุเกิดขึ้นขณะจำเลยกระโดดถีบเเละต่อย โดยมีพยานบุคคลหลายปากก็เบิกความว่า เห็นขณะถีบและเตะ ทั้งยังมีประจักษ์พยานในเหตุการณ์เห็นตอนทำร้ายผู้เสียชีวิตซึ่งไม่ได้เป็นการเบิกความขัดเเย้งกับ นายตง เเต่เป็นการมองคนละมุมกันโดย นายตง ยืนในจุดที่เห็นจำเลยควักมีดมาเเทงนายเต้ผู้ตาย
แม้ที่เกิดเหตุจะไม่ได้ภาพทีวีวงจรปิดแต่ก็มี นายตง ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ ส่วนเสื้อของจำเลย ไม่มีความจำเป็นต้องเอามาตรวจดีเอ็นเอ เพราะมีการเปลี่ยนเสื้อแล้วก่อนถูกตำรวจจับ กรณีนี้เป็นช่วงเทศกาลมีคนเห็นเหตุการณ์หลายคน เเต่ไม่กล้ามาเป็นพยานก็ไม่เป็นปัญหา เรื่องจากนายตงเห็นเหตุการณ์ชัดเจน
โดยในคำร้องยังมีประเด็นไม่เห็นพ้องด้วยที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานนายตง โดยอ้างเหตุว่า “ป่วยทางจิต” มีการยื่นใบรับรองแพทย์ แล้วเอามายื่นศาลห่างจากวันตรวจถึง 5 เดือน แพทย์ก็ไม่ได้ลงความเห็นว่านายตงมาเบิกความไม่ได้ แต่ขอให้ชะลอการเบิกความไว้ก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น ทั้งนายตงเองมีประวัติก่ออาชญากรรม 8 ครั้ง ล่าสุดวันที่ 13 ตุลาคม 61 ซึ่งแสดงว่า นายตง “ไม่ป่วยจริง” จึงขอให้สืบพยานเพิ่มเติม
และขอให้ออกหมายเรียกคำให้การของแพทย์โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ที่ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ว่า นายตง ยังสามารถมาให้การได้ พร้อมกันนี้ก็ได้ทำคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์หมายเรียกคำให้การของ เเพทย์หญิง ธนียา เเละนายเกริกไกร จากกองวินัย สำนักงานตำรวจเเห่งชาติ มาประกอบพิจารณาสั่งให้มีการสืบพยานเพิ่มเติมปากนาย พีรวิชญ์ ปุตตะจินารักษ์ เพื่อประกอบพิจารณาพิพากษาคดีนี้ และขอให้ศาลอุทธรณ์ ใช้อำนาจ ตาม ป.วิอาญามาตรา 208(1)เรียก นาย พีรวิชญ์ ปุตตะจินารักษ์ มาสืบเองหรือสั่งศาลชั้นต้นสืบเเล้วให้ส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต่อไป
โดยคำร้องอุทธรณ์ของเราในวันนี้จะถูกนำไปประกอบกับที่พนักงานอัยการได้ยื่นอุทธรณ์ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมีเนื้อหาการยื่นอุทธรณ์ข้อกฎหมายในประเด็นลักษณะเดียวกัน ตอนนี้เหลือเอกสารอยู่อีก 1 ชิ้น ที่อยู่ระหว่างการประสานผ่านทางสำนักงานอัยการสูงสุดไปยังกองวินัยของ สตช.เพื่อยื่นขอประกอบอุทธรณ์ในภายหลังอีก โดยหลังากได้เอกสารหน้าที่ของตนก็จะจบลง ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับศาลอุทธรณ์จะพิจารณาใช้ดุลพินิจทำคำพิพากษา
ต่อไปก็ต้องเป็นหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะพิจารณาเเละเชื่อว่าถึงศาลอุทธรณ์ไม่สั่งให้สอบพยานปากนายตง ศาลอุทธรณ์ก็สามารถพิจารณาถึงคำให้การของ นายตง ที่เคยให้การไว้ถึง 3 ครั้ง รวมถึงพยาน ที่ยืนยันถึงเเสงสว่างเเละระยะทางที่มีการชกต่อยกันในที่เกิดเหตุ ซึ่งพยานเหล่านี้ได้ปรากฎในการพิจารณาของศาลชั้นต้นเเล้ว พอมาชั้นศาลอุทธรณ์ คำร้องอุทธรณ์เราเขียนชี้ให้ศาลอุทธรณ์เห็นชัดอย่างละเอียดโดยใช้ทีมงาน4 คน ใช้เวลาเขียน 1 เดือน
โดยภายหลังการให้สัมภาษณ์ นางเรวดี ได้เดินไปยังจุดเกิดเหตุที่ นายศุภชัย กระโดดตึกศาลอาญาพร้อมนั่งพนมมือพร้อมกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือน้ำตานองหน้าว่า “ขอดวงวิญญาณพี่ศุภชัยได้รับรู้ หนูมาอุทธรณ์คดีสู้ให้ลูกกับพี่เเล้ว ขอให้รู้ว่าหนูสู้ไม่ยอมเเพ้”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำฟ้องคดีนี้สรุปว่า เมื่อวันที่ 15 เมษายน 59 ว่า จำเลยกับพวก ซึ่งเป็นเยาวชนที่เเยกการพิจารณาคดีได้ร่วมกันกระทำความผิด คือพกอาวุธมีดปลายเเหลมติดตัว เเละร่วมกันชกต่อย นายธนิต หรือน้องเต้ ผู้ตายบริเวณใบหน้าเเละลำคอหลายครั้ง พร้อมร่วมกันใช้อาวุธมีดปลายเเหลมเเทง นายธนิต จำนวนหลายครั้ง คมมีดถูกไหล่ซ้ายด้านบน เเผลยาว 3เซนติเมตร ลึกทะลุผ่านเนื้อเยื่อเเละกล้ามเนื้อไหล่ซ้ายทะลุเข้าเส้นเลือดเเดงบริเวณไหปลาร้าข้างซ้ายเป็นเหตุให้ นายธนิต ได้รับบาดเจ็บสาหัสเเละถึงเสียชีวิตในเวลาต่อมา จำเลยให้การปฏิเสธคดี และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษายกฟ้องไปในวันที่ 23 กรกฎาคม61