ศาลตัดสินประหาร คดีฆ่ายกครัว 8 ศพ ขณะที่ทนายบังฟัตเตรียมยื่นอุทธรณ์
ซึ่งศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งแปดแล้ว พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยทั้งแปดเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานเป็นซ่องโจรตามฟ้อง
และแม้ว่าจำเลยที่ 1 ถึง 6 จะรับสารภาพว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่น อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา แต่จำเลยดังล่าวไม่ได้รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 มีพฤติการณ์ร่วมกันใช้อาวุธปืนจ่อยิงผู้ตายทั้ง 8 และผู้รอดชีวิตอีก 3 คน โดยมีพฤติการณ์ใช้ปืนจ่อหัวเป็นรายคน หวังจะเอาชีวิตเพื่อปิดปากถึง 11 คน ซึ่งมีทั้งผู้หญิง เด็กอายุเพียง 4 ปี 8 ปี 11 ปี 12 ปี และ 14 ปี รวมอยู่ด้วย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 8 คน นับเป็นเหตุการณ์เศร้าสลดหดหู่ใจและสะเทือนขวัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง จำเลยดังกล่าวเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นมาเองและลงมือกระทำความผิดอย่างอุกอาจ โหดเหี้ยม อำมหิตผิดวิสัยมนุษย์
จึงเห็นสมควรไม่ลดโทษให้ และเมื่อฐานความผิดปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายลงโทษประหารชีวิตแล้ว ไม่อาจนำโทษในกระทงอื่นๆมารวมได้อีก คงให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1-6 สถานเดียว
สำหรับจำเลยที่ 7 และ จำเลยที่ 8 ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้จะไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนก็ตาม แต่จำเลยที่ 8 เข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันอยู่กับเหตุการณ์ทวงหนี้มาก่อน เพียงแต่ไม่สบโอกาส ส่วนจำเลยที่ 7 ก็เข้ามาร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ แม้จะไม่ได้รู้เห็นขณะมีการฆ่าผู้อื่น แลพยายามฆ่าผู้อื่นก็ตาม แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดปฏิบัติการครั้งนี้ พฤติการณ์นี้เป็นเรื่องร้ายแรงจึงไม่รอการลงโทษ ศาลจึงมีคำพิพากษาลงโทษ
จำเลยที่ 7 ความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 1 ปี ฐานมีอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน ฐานบุกรุกในเวลากลางคืนจำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 9 เดือน
ส่วนจำเลยที่ 8 ความผิดฐานมีอาวุธปืน 4 เดือน ฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานจำคุก 8 เดือน รวมจำคุก 1 ปี
สำหรับในคดีส่วนแพ่ง ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงิน แก่ผู้ร้องที่ 1 คือ นายสนาน สังหลังและผู้ร้องที่ 2 คือนางห้าแกฉะ บุตรหลี จำนวน 630,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องที่ 1 และที่ 2
ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงินแก่ผู้ร้องที่ 3 คือ นายจรีย์ บุตรเติบ จำนวน 1,445,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องที่ 3
ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงินแก่ผู้ร้องที่ 4 คือ นางอุไร พัฒแก้ว จำนวน 962,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องที่ 4
ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงินแก่ผู้ร้องที่ 5 คือ นางสาวอัญชลี บุตรเติบ จำนวน 2,402,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,500 บาท นับแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2560 ซึ่งเป็นวันละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องที่ 5
ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงินแก่ผู้ร้องที่ 6 คือ ลูกสาวคนเล็กของนางสาวอัญชลี บุตรเติบ จำนวน 420,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 7 คือ ลูกสาวคนกลางของนางสาวอัญชลี บุตรเติบ จำนวน 720,000 บาท และแก่ผู้ร้องที่ 8 คือ ลูกสาวคนโตของนางสาวอัญชลี บุตรเติบ จำนวน 960,000 บาท และให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 8 สำหรับจำเลยที่ 7 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งระหว่างผู้ร้องทั้งแปดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ให้เป็นพับ.
ขณะที่นายเกรียงศักดิ์ สารภี ทนายความของกลุ่มผู้ต้องหา กล่าวว่า หลังคำพิพากษาออกมาทางบังฟัตและกลุ่มผู้ต้องหาไม่พอใจกับคำตัดสินที่ออกมา ก็จะขอใช้สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วันเพื่อต่อสู้คดีต่อไป ทั้ง 8 คน